วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

Book ชีวิตการงานเพื่อความเบิกบาน


ชีวิตการงานเพื่อความเบิกบาน

พ่อจึงมีความเป็นห่วงเป็นใย ต่อเจ้า อย่างยิ่ง หวั่นว่า... เจ้าจะมีชีวิตและ การงานที่ผิดๆ พลาดๆ ไม่รู้จักจบสิ้น และถ้าเจ้าปรารถนาที่จะไม่ให้เกิดความ ผิดพลาด หรือให้เกิดน้อยที่สุด ลูกก็ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า งานเป็นวิถีทางอันมีคุณค่าสำหรับการแสวงหาความสุขใจอย่างลึกซึ้ง ใ นการมีชีวิต งานเป็น แหล่งให้กำเนิดความเจริญงอกงาม งานเป็นโอกาสให้คนได้พัฒนาศักยภาพของร่างกายและจิตวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม งานทำให้เพิ่มโอกาสได้เรียนรู้เรื่องชีวิต และวิญญาณของตนมากขึ้น........



คัดลาย

ความหมายของงาน 


      ลูกรัก......
      ชีวิต และการงานซึ่งมีในปุถุชน มันได้ถูกอารมณ์ความเครียด ความไม่ยอมรับความหลงลืม ความวุ่นวาย ความไม่รู้ชัดแจ้งต่อ อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากปัญหา และกาลเวลาเป็นเครื่องบ่อนทำลายให้เกิดความผิดพลาดขึ้น สาเหตุแห่งความผิดพลาดเหล่านี้ มันเกิดมาจากความไม่รู้เนื้อรู้ตัวทั้งสิ้น พ่อจึงมีความเป็นห่วงเป็นใยเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หวั่นว่าเจ้าจะมีชีวิตและการงานที่ผิดๆ พลาดๆ ไม่รู้จักจบสิ้น และถ้าเจ้าปรารถนาที่จะไม่ให้เกิดความผิดพลาด หรือเกิดก็น้อยที่สุด ลูกก็ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า "งาน" เป็นวิถี ทางอันมีคุณค่าสำหรับการแสวงหาความสุขใจอย่างลึกซึ้งในการมีชีวิต งานเป็นแหล่งให้กำเนิดความเจริญงอกงามงานเป็นโอกาสให้คนได้พัฒนาศักยภาพของ ร่างกายและจิตวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม งานทำให้เพิ่มโอกาสได้เรียนรู้เรื่องชีวิตและวิญญาณของตนมากขึ้นงานยังเป็น กระบวนการเสริมสร้างความกล้าแกร่ง อดทนอดอกลั้น ให้เพิ่มพูนมากขึ้น ถ้าลูกทำมันด้วยใจจริง งานยังทำให้เกิดความรักความเมตตา อาทรต่อเพื่อนร่วมงานผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ทั้งยังทำให้เกิดความผูกสมัครสมาน สามัคคีในการอยู่ร่วมกัน งาน ยังจะทำให้ลูกได้เห็นตัวตนแท้ของสัจธรรม ตามคำสอนของพระศาสนาได้อย่างถูกต้อง ถ้าลูกสัมผัสด้วยตัวของลูกเอง เป็นคำสอนที่ว่า ให้เรารู้จักทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ หากลูกทำความเข้าใจในความหมายของงานได้อย่างนี้ ลูกก็จะรู้ว่า

ชีวิตคือการงาน การงานคือการมีชีวิต มันเป็นหนึ่งเดียวของกันและกันได้เช่นนี้


ลูกรัก......
     สำหรับพ่อแล้ว พ่อเข้าใจว่า การแสดงออกของพลังธรรมชาติที่แท้จริงที่ใกล้ตัวที่สุดนั้นก็คือ "พลังที่ทำการงาน" งานจะเอื้ออำนวยให้เจ้าได้ใช้พลังของเจ้าอย่างเต็มที่งานจะสามารถเปิดตัว เปิดสมอง เปิดใจ ให้ลูกได้พานพบกับประสบการณ์อันกว้างขวาง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ แม้ในงานอันเล็กๆ น้อยๆ ที่ละเอียดอ่อนที่สุด การงานจะช่วยให้ลูก ได้เรียนรู้การใช้พลังธรรมชาติในตัวลูกอย่างช่ำชอง เชี่ยวชาญ กล้าหาญ และชาญฉลาด ความสุขเกือบทั้งหมด ของชีวิต ลูกจะได้มาจากการงานที่สำเร็จมันเป็นความอิ่มเอิบ ซึ่งจะทำให้ลูกมีชีวิตอันราบรื่น สดใส ในขณะเดียวกัน การทำงานยังจะสามารถสร้างสรรค์ความกลมกลืน ความสมดุล ให้มีขึ้นระหว่างลูกกับธรรมชาติ การทำงานคือการรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ในตัวลูกเองเช่น พลังความคิด การกระทำที่เกิดจากกาย วาจา ให้ไปสู่วิถีทางแห่งการสร้างสรรค์ชีวิต ให้เต็มอิ่มบริบูรณ์ ทั้งยังจะเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น ได้มีส่วนรับความเต็มอิ่มบริบูรณ์นั้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น ลูกควรตระหนักถึงความสำคัญของงานที่มีต่อชีวิตของลูกเอง และลูกก็ต้องรู้ด้วยว่า งานนั้นมันสามารถที่จะทำให้เจ้านำเอาทุกสิ่งของชีวิตมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าง เต็มบริบูรณ์


ลูกรัก......
     พ่อ อยากจะบอกกับเจ้าว่า ตลอดชีวิตของพ่อที่มีมานั้น คราใดที่พ่อได้กระทำงาน พ่อจะสามารถสัมผัสได้กับความสุขอันลึกซึ้ง ที่เกิดจากการทำงานอันแนบเนียนชัดเจน ด้วยชีวิตจิตใจของพ่อทีเดียวหละ ตรงกันข้าม ถ้าลูกไม่ให้ความใส่ใจต่องาน ไม่ให้ความคิดและหัวใจทั้งหมดแก่งาน ลูกเพียงแต่จะทำมันแค่ผ่านๆ ไป โดย ไม่ได้คิดใส่ใจและชอบมัน ทำเพียงสักแต่ว่า ให้มันฆ่าเวลาไปวันๆ และถ้าจำเป็นจะต้องทำ ลูกก็จะมุ่งความสนใจไปสู่ผลของงานมากกว่าวิธีทำงาน เช่น เจ้าอาจจะทำงานเพียงเพื่อหวังแค่ตำแหน่ง อำนาจ หรือชื่อเสียง โดยไม่คำนึงว่า ลูกได้ให้ความใส่ใจต่องานที่กำลังจะทำนี้ดีเยี่ยมแค่ไหน สำหรับพ่อแล้ว ถือว่าการทำงานในลักษณะเช่นนี้ มันเป็นการฝึกจิตใจของตนให้คับแคบ หยาบกระด้าง เห็นแก่ตัวละโมบเกินไปที่ว่าคับแคบก็เพราะว่า มันจะทำให้เจ้าเห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นใหญ่ไม่คำนึงผลสำเร็จของงานโดยตรง เมื่อผู้กระทำไม่ได้รับประโยชน์จากงานที่ตนกระทำ ผู้นั้นก็อาจจะปฏิเสธการกระทำนั้นๆ อย่างสิ้นเชิง เหตุเพราะลงมือทำงานแล้ว ผลของงานที่ทำกลับออกมาไม่สมบูรณ์ มันจะทำให้ผู้นั้น ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ที่สุดก็เลิกทำ แล้วลูกรู้ไหมว่า เมื่อการให้ประโยชน์ส่วนรวมที่เกิดจากงานได้ถูกปฏิเสธเสียแล้ว สังคมของลูกก็จะถูกจำกัดวงให้แคบลงเมื่อสังคมถูกจำกัดไม่ว่าโดยตัวของลูกเอง หรือโดยสังคมที่ไม่ยอมรับลูก พ่อก็ถือว่าความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ของลูก จะถูกกักขังให้คับแคบลงไปด้วย พร้อมกับสามัญสำนึก ความรู้สึกผิดชอบ จิตวิญญาณ ในการรับและปฏิเสธจะหยาบกระด้างลงเพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจริงๆ แล้วการทำงานแต่ละอย่างมันมิใช่ให้ผลแค่ตำแหน่ง ยศถา บรรดาศักดิ์หรือขึ้นเงินเดือน และคำชมเท่านั้น การทำงานแต่ละ อย่างมันให้ผลมากมายดังที่พ่อได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น แต่ถ้าเจ้าคิด ว่าทำงานเพื่อให้ได้แค่นี้ พ่อคิดว่า สำนึก ความรู้สึกผิดชอบ ในจิตวิญญาณของเจ้ามันหยาบกระด้าง เห็นแก่ตัว ละโมบเกินไป พูดเช่นนี้เจ้าคงจะงง พ่อจะยกตัวอย่างให้เจ้าได้เห็นชัดๆ

     บุคคล ปลูกมะม่วงจากเมล็ดด้วยความเอาใจใส่ เพื่อมุ่งหวังให้ได้ผลมะม่วง เมื่อต้นมะม่วงจากเมล็ดนั้นเติบโตมีลำต้นแผ่กิ่งก้านผลิใบให้ร่มเงา บุคคลนั้นเฝ้ามองด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับ ลิดใบ ตัดกิ่ง ฟันลำต้น มีผู้ถามบุคคลนั้นว่าท่านตัดใบ กิ่ง และ ต้นมะม่วงทำไม บุคคลผู้นั้นตอบว่า ข้าปลูกมะม่วงเพื่อต้องการผล มิใช่ต้องการใบ กิ่ง ต้น ร่มเงา อากาศ อินทรีย์วัตถุ ที่เกิดจากใบ และรากมะม่วง บุคคลเช่นนี้ ไม่เรียกว่าหยาบกระด้าง เห็นแก่ตัว ละโมบ โง่ แล้วจะเรียกว่าอะไร



  ลูกรัก......
     ลูก รู้ไหม สำหรับพ่อแล้ว การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการทำงาน มันทำให้เราถอยห่างออกจากแก่นสารของชีวิตการปฏิเสธที่จะใช้พลังที่มีอยู่ใน ตนไปทำงาน เท่ากับว่าเจ้าได้ลดคุณค่าของตัวเจ้าเอง เมื่อชีวิตขาดคุณค่า ลูกก็มีชีวิตอยู่อย่างหวั่นไหวไม่มั่นคง เมื่อลูก มองไม่เห็นประโยชน์สุขในการทำงานเสียแล้วลูกก็จะไม่พบหนทางใด อีกเลย ที่จะทำให้ชีวิตของตนมีประโยชน์สุขและคุณค่าอันลึกซึ้งใดๆ ได้อีก

     การ งานและการเรียนรู้ชีวิตนี้เท่านั้น ที่มันจะทำให้ลูกประจักษ์ แจ้งในใจ ในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ มันจะเป็นเหตุทำให้เกิดความยอมรับ ความเคารพ ความสัมพันธ์ที่กลมกลืนกับสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ ความชำนาญต่างๆ ที่ลูกเรียนรู้ในขณะทำงาน จักกระตุ้นให้เกิดความเจริญงอกงาม ทำให้เกิดความพอใจและความหมายของชีวิตในทุกๆขณะจิตของลูกเอง และผู้อื่นทีเดียว ชีวิตและจิตใจของลูกจะมีแต่ความแจ่มใส สดชื่นอย่างอิสระดังธรรมชาติทีเดียวหละ



 การงานเพื่อความแจ่มใส

   สำหรับ พ่อแล้ว ควรจะเตือนเจ้า ให้มีลักษณะเป็นพิธีการสักนิดหน่อย เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการที่จะพัฒนา และปรับปรุงตัวเอง เมื่อพ่อได้พูดถึงอารัมภบทที่ผ่านมาของการเริ่มต้น ในการดำเนินชีวิตของพ่อแล้ว พ่อก็จะพูดถึงหลักการที่เจ้าควรจะใส่ใจมันไว้บ้าง

   ลูกรัก....
   เมื่อ จิตใจของลูกกลับคืนสู่ธรรมชาติแท้แห่งความแจ่มใส สดชื่น ลูกจะพบขุมทรัพย์ภายในตัวของลูกเองอย่างมากมาย อันได้แก่ความรัก ความอบอุ่น ความปลื้มปีติ ความนิ่งสงบ ลูกจะรู้สึกสัมผัสได้กับความสวยงามอันซาบซึ้งของชีวิต ลูกจะรับรู้และสัมผัสได้กับประสบการณ์ทุกๆ ขณะ ที่ไหลเรื่อยเข้ามาสู่การรับรู้ จิตของลูกจะเปิดรับสัมผัสกับความสุขในการมีชีวิต การที่ลูกจะประจักษ์ชัดถึงคุณภาพต่างๆ เหล่านี้ในตัวลูกได้นั้น มันต้องเกิดมาจากจิตใจอันแจ่มใสที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม คำถามมันมีอยู่ ว่า ลูกจะสามารถพัฒนาและเข้าถึงความแจ่มใสสดชื่นในจิตใจของ ลูกได้มากน้อยแค่ไหน ลูกจะสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมชาติอันดีงามของชีวิตได้อย่างไร และลูกจะมีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ในความ รู้สึกนึกคิดได้มากขนาดไหน แม้ว่าบ่อยครั้ง ที่ลูกได้สัมผัสกับความอิ่มเอิบภายในที่ได้จากศานติ โปร่งเบาและแจ่มใส แต่เจ้ามักจะปิดบังตนเองจากมัน กลับไปเลือกทำสิ่งที่เรียกว่า สับสน วุ่นวาย หนักหน่วง เหนี่ยว และอึมครึม ซึ่งก่อให้เกิดความไม่เป็นสุขอย่างเบาบางหลายครั้งที่ลูกไม่อนุญาตให้ตนเอง ได้สัมผัสกับความสุขอันแท้จริงเลยเหตุเป็น เพราะเจ้าหลงผิด คิดผิด จึงทำผิด และพยายามทำให้เกิดความสุขแบบผิดๆ จนบางทีบางครั้ง ลูกก็ไม่สามารถจะเบิกบานกับความสำเร็จของลูกได้อย่างเต็มที่ อาจเป็นเพราะว่า ลูกยังมีความเคลือบแคลง สงสัย เป็นห่วงและหวงกังวลอยู่กับความรู้สึกในเชิงลบเช่นนี้ มันยิ่งทำให้ลูก ยิ่ง ห่างไกลออกจากเนื้อแท้ของชีวิต อีกทั้งยังทำให้ลูกต้องหลงทางไปแสวงหาความสุขและความอิ่มเอิบจากภายนอกเจ้า จะถูกชักจูงให้สับสน และสนใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆตัว และลูกก็จะใส่ใจอยู่กับมันอย่างจดจ่อ โดยไม่เชื่อว่าหรือโดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้ลูกมีความสุข ซึ่งลูกหารู้ไม่ว่า การที่ลูกใช้พลังงาน มุ่งสนใจแต่ภายนอกกายตน มันจะทำให้ลูกต้องพลาดจากกระแสแห่งความรู้สึก อันละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง กระจ่างชัด ที่มีอยู่ในความคิด ลูกจะไม่สามารถรับรู้อย่างลึกซึ้ง ในกระแสแห่งอารมณ์และการรับรู้ต่างๆ หากปราศจากความรู้แจ้ง อย่างแจ่มชัดภายในถึงกระแสต่างๆ เหล่านี้ลูกจะมีความรับรู้ต่อประสบการณ์ต่างๆ อย่างผิวเผินและตื้นเขินเต็มทีลูกจะใส่ใจกับประสบการณ์ต่างๆ เหล่านั้นอย่างไม่ชัดเจน ไม่ละเอียดลึกซึ้ง และในที่สุดกระแสที่ผ่าน เข้ามาในชีวิตของลูกเหล่านั้น ก็จะเป็นประสบการณ์ที่เป็นคุณภาพที่ต่ำที่สุด


 ลูกรัก......
     แม้ ว่าลูกจะประสบความสำเร็จในการกระทำหลายๆ อย่าง แต่การที่ลูกแยกตนเองออกจากธรรมชาติอันแจ่มใสของจิตใจ มันจะทำให้ลูกเสียรากฐานที่แท้จริงของชีวิตลูกไป ซึ่งมันจะทำให้ลูกรู้สึกหวั่นไหว ไม่มั่นคง และลูกก็จะเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตว่างเปล่า ไร้ คุณค่า เมื่อลูกไม่สามารถดื่มด่ำกับความอิ่มเอิบ จากการรู้จักตนเอง ได้อย่างแท้จริงแล้วละก็ ลูกก็มักจะมุ่งหาผู้อื่นหรือสิ่งอื่น เพื่อทำให้ลูกสบายใจหรือเป็นสุข ซึ่งมันก็เกิดมาจากเหตุที่ว่า ลูกไม่รู้ว่าลูกขาดอะไร ลูกจึงไม่สามารถชัดเจนและชัดแจ้งในความต้องการ ที่แท้จริงของลูกได้เพราะเหตุนี้ ลูกจึงรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวด อยู่เสมอ ยิ่งลูกหม่นหมองหมกมุ่น ตกหลุมความไม่เป็นสุขเท่าใด ลูกจะรู้สึกไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใจ ทุกข์กาย และอารมณ์ขุ่นมัวอย่างไม่มีเหตุผล จนทำให้เกิดความรู้สึกโกรธ ไม่พอใจและหวั่นไหวมากขึ้น ความสัมพันธ์และความสัมผัสต่างๆ จากประสาทรับรู้ จากตาเห็น หูฟัง จมูกดม กายถูกสัมผัส ใจรับรู้อารมณ์ จะมีกลิ่นอายและรสชาติอันจืดชืด มันก็จะยิ่งเป็นเหตุให้เจ้าไม่รู้จักพอมากขึ้น แล้วลูกจะทำกิจกรรมหรือการงาน ด้วยความไม่เป็นสุข ด้วยความไม่แจ่มใสในจิตใจ ลูกจะถูกกักขังไว้ในอารมณ์ขัดเคือง เคลือบแคลง ระแวงสงสัยและหมกมุ่น ลูกจะขาดสามัญสำนึกอันละเอียดอ่อนในตน และลูกจะถูกดึงดูดให้ตกอยู่ในวงจรของความกังวล หมกมุ่น ไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ลูกก็จะยิ่งดิ้นรน หมุนวนที่จะแสวงหาความสุข ความอิ่มเอิบแต่พ่อเชื่อแน่เหลือเกินว่าลูกจะไม่มีทางได้พบกับมันเลย การแสวงหาเช่นนี้ จะเกิดขึ้นอย่างซ้ำๆ ซากๆ จนกลับกลายเป็นความเคยชิน และแล้วลูกก็จะคิดว่ามันคือแนวทางในการดำเนินชีวิตของลูก


ลูกรัก......
     พ่อ อยากจะบอกเจ้าว่า การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ซึ่งมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมันก็อาจกดดันให้ลูกต้องตามมันให้ทัน ซึ่งพ่อก็คิดว่าทุกคนรวมทั้งเจ้าด้วย คงไม่ต้องการเป็นแน่ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ มันจะทำอย่างไรได้ล่ะ เพราะมันเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์รวมทั้งสรรพธาตุ ก็ในเมื่อ การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่มีอะไร ผู้ใดหนีมันได้พ้น สังคมและสิ่งแวดล้อม จึงหล่อหลอมและกดดันให้ลูกได้แสดงออกเพื่อให้ดูเหมือนว่า เจ้าได้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ได้ แต่จะมีใครบ้างเล่า ที่จะยอมรับว่าเจ้าได้ปรับใจไปพร้อมๆกับการปรับตัวนั้นด้วย เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ในสังคมก็มักจะให้ความสำคัญที่จะทำกิริยาอาการภายนอกเพื่อให้ผู้ อื่นเขาดูว่าดี เพื่อให้ผู้อื่นเขาดูว่า ตนนี้ช่างมีเสรีอิสระเสียนักหนา แต่ภายในจิตใจ นั้นเล่า อาจถูกทำร้ายทำลายด้วยความเครียด ความกังวล ความวิตก ความหวาดกลัว ซึ่งเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น และทุกคนก็จะรีบเร่ง ร้อนรน จนไม่มีโอกาสรับรู้ถึงกระแสแห่งอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างซาบซึ้งเลย แล้วก็เป็นเหตุที่ มิได้ทำให้เกิด ทำให้ถึงธรรมชาติอันแจ่มใสของจิตใจตนเองได้ ลูกและทุกคน จึงจะดูยิ่งห่างเหินจากคุณภาพอันดีงามของการมีชีวิต และพลังอันมากมาย ที่ลูกจะพึงได้จากตัวลูกเอง คุณภาพและพลัง นั้นก็จะสับสนและขาดหายไป



  ลูกรัก......
     ใน ขณะที่เราเป็นเด็ก เราจะรู้ว่า รู้สึกอย่างไรกับสรรพสิ่ง แต่เพราะความกดดันจากครอบครัวและมิตรสหาย ทำให้เราต้องจำใจรับทัศนคติที่คับแคบ และรับแนวความคิดตามความมุ่งหวังของผู้อื่น และเมื่อความคิด ความรู้สึก อันเป็นธรรมชาติของเราถูกยับยั้ง เราจึงเติบโตขึ้นมาภายนอกอาณาเขต ของความแจ่มใสแห่งจิตตน และเมื่อนั้นเองความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของเราย่อมถูกขัดขวางและ ถูกทำลายไป เราจึงไม่ตระหนักถึงความรู้สึกอันแน่แท้ของเรา เมื่อการกักขังนี้แข็งแรง และมั่นคงขึ้น โอกาสของการแสดงความรู้สึกต่างๆ ก็จะลดน้อยถอยลงไป หรือไม่ก็หมด ไปจากตัวเราเลย เราจะพอใจกับการคล้อยตาม และเมื่ออายุมากขึ้น เราก็จะยินยอมให้สภาพเช่นนี้กำหนดชีวิตเรา และในที่สุดเราก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าของตัวเราเอง ลูกจะกลับมาสัมผัสกับตนเองใหม่ได้อย่างไร ลูกจะทำอย่างไร เพื่อให้ลูกมีความรู้สึกอิสระเสรีปลอดโปร่งอย่างแท้จริง คำถามเหล่านี้ลูกได้เคยตั้งขึ้น เพื่อจะถามตัวเองบ้างหรือเปล่า และถ้าลูกได้ถามตัวเองเช่นนี้ พ่อก็คงแน่ใจได้ว่า ลูกเริ่มที่จะมองหาธรรมชาติอันแจ่มใส ภายในจิตใจ ของลูกอย่างชัดเจนขึ้นแล้ว ลูกจะได้พบกับความสว่างที่ทำให้ลูกมีแนวทางดำเนินชีวิตอย่างสมดุล งอกงามต่อไปได้



 ลูกรัก......
      ความชัดเจนในการมองตนเองนี้แหละ มันเป็นการเริ่มต้นของความรู้แห่งตน และความรู้แห่งตนจะเกิดขึ้นได้ง่าย โดยการสังเกตดูจากการทำงานของจิตและร่างกาย ของลูกอยู่เสมอ ลูกสามารถฝึกการสังเกตภายในกายและจิตใจของตนเมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าลูกกำลังจะทำอะไรอยู่โดยการสังเกตที่จะใส่ใจต่อการเกิดขึ้น ต่อการเปลี่ยนแปลงของการทำงาน และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ที่บังเกิด

   ลูก จะเห็นว่า สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลง และอารมณ์ มันมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจ จนยากที่จะฝืนทีเดียวหละ แต่ถ้าลูกเพียรพยายามเพิ่มขึ้นสักนิด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการมองเข้ามาสู่ภายในกายของตนลูกก็จะเกิดพลังและ แนวความคิดใหม่ๆ ที่จะเชื่อมระหว่างกายกับจิต ให้ผสมผสาน กลมกลืน สอดคล้อง ต่อการมีชีวิตอย่างธรรมชาติและการทำงานที่ไหลลื่น มิได้ฝืนกับอะไร ลูกจะเกิดพลังจากการที่มองตนเองอย่างชัดเจนนี้ ขึ้นมามากมาย ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีคุณภาพ ลูกจะดำเนินเข้าสู่กระแสแห่งชีวิต และหนทางแห่งการเรียนรู้ตนเองอย่างมีคุณภาพต่อไปทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะผลักดันส่งเสริมต่อการกระทำของลูกให้แจ่มใส สดชื่น ทุกอิริยาบถอีกด้วย



 ลูกรัก......
     เมื่อ ลูกได้สังเกตธรรมชาติแท้ภายในของลูก อย่างไตร่ตรองแล้วละก็ ลูกจะพบว่า ลูกได้กักขังตนเองอย่างไร และความรู้สึกแห่งธรรมชาติภายในได้ถูกจำกัดไว้อย่างไร และตอนนี้เอง ที่ลูกจะ สามารถให้พลังและความรู้สึกเหล่านั้นหลั่งไหลออกมา พลังเหล่านี้จะถูกนำมาใช้อย่างมีประโยชน์สูง ประหยัดสุด เมื่อลูกสงบนิ่ง ซื่อ ตรง และยอมรับตนเอง ความเชื่อมั่นของลูกจะเกิดขึ้น ลูกจะสามารถเรียนรู้วิถีทางใหม่ๆ และแนวทางอันดีงามที่จะรู้จักตนเองมากขึ้น และที่เกิดจากการรู้จักตนเองด้วย เมื่อเครื่องมือแห่งการรับรู้ของลูกแจ่มใสสะอาด ทั้งยังมีการเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา นั่น ก็คือจิตที่สะอาดปราศจากความปรุงแต่ง

     ซึ่งผู้อื่นอาจจะเรียก มันว่า "สมาธิ" ก็คงจะไม่ผิด ใครจะเรียกอะไรอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับพ่อแล้ว มันก็คือตัวการกำหนดพลัง ที่พ่อสามารถจะใช้มันได้ตามความต้องการ การมีสมาธินั้น มิใช่การฝึกวินัยอย่างเข้มงวด กวดขันตายตัว แต่มันหมายถึง การผ่อนคลาย การทำใจให้สงบอย่างธรรมชาติที่สุด


 ลูกรัก......
     เพราะ พ่อคิดว่าความรู้เนื้อรู้ตัวนี้มันจะทำให้เกิดความมั่นใจต่อลูก มันจะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจต่อสิ่งที่ลูกทำ ลูกจะทำมันด้วยพลังความสามารถของลูกอย่างเต็มที่ และลูกก็สามารถพัฒนาความรู้เนื้อรู้ตัว โดยมีความชัดเจนในการคิดพิจารณา ต่อกิจการงานที่กำลังจะทำ ลูกลองสังเกตวิธีการทำงานของลูกซิว่า ลูกเริ่มต้นอย่างไร และมันได้ดำเนินไปอย่างไร ลูกได้เข้าใจอย่างถ่องแท้หรือไม่ว่า ลูกต้องการอะไรลูกได้วิเคราะห์คำนวณล่วงหน้าถึงผลของงานก่อนที่ลูกจะทำหรือ เปล่า และลูกแน่ใจ แล้วหรือว่า การวิเคราะห์คำนวณพิจารณาถึงผลของงานนั้น มันเป็นการวิเคราะห์คำนวณ ที่เต็มสมบูรณ์ไปด้วยการวิเคราะห์ ด้วยทัศนคติที่ละเอียดเรียบร้อย กว้างขวางเพียงพอ ลูกได้ใส่ใจในมันอย่างชัดเจนต่อขั้นตอนในการทำงานของลูกมากน้อยเพียงไร

     คำถามที่มากมายเหล่านี้ พ่อมิใช่จะถามเจ้าเพื่อให้เจ้าไปตอบชิงรางวัล แต่พ่อถามเจ้า เพื่อเจ้าจะได้มีไว้ถาม และหาคำตอบให้แก่ตนเองเมื่อมีคำถามก็ต้องหาคำตอบ เมื่อค้นหาคำตอบ ผู้ตอบ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ ในขณะที่ลูกค้นหาคำตอบ เพื่อการพัฒนาความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่นี้ ลูกก็จะเห็นถึงการขาดความเอาใจใส่ ว่ามันมีผลต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตของลูกอย่างมากทีเดียว หากลูกทำงานและดำเนินชีวิตด้วยความเอาใจใส่อย่างรู้เนื้อรู้ตัว การดำเนินชีวิตและการเคลื่อนไหวในความคิดของลูก ก็จะงดงามราบรื่น ความรู้สึกนึกคิดของลูก จะมีแต่ความชัดเจนเป็นระบบ ชีวิตและการงานก็จะเพิ่มพูนด้วยประสิทธิภาพ เนื่องจากลูกได้ทำให้เกิดความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ กับขั้นตอนแต่ละขั้นในการทำงาน

     เมื่อลูกทำได้เช่นนี้ ลูกก็จะรู้สึกถึงผลของงาน ที่ลูกได้กระทำนั้นในทันทีที่ทำ และมันก็จะเป็นแรงจูงใจ ให้ลูกได้เกิดแนวความคิดใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ต่อการทำงาน อีกทั้งลูกยังจะมีความรู้สึกที่จะปิดกั้นความลืมหลง และผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นแก่ลูกได้อีกด้วย นอกจากนี้แล้ว ความแจ่มใสความรู้เนื้อรู้ตัว ยังจะทำให้ลูกมีความเข้าใจอันละเอียดถี่ถ้วน ในความรู้สึกนึกคิดและในการกระทำของลูกเอง


  ลูกรัก......
      ความชัดเจนใสสะอาดในการรับรู้ ความโปร่งใจแจ่มใส ความสงบและความรู้เนื้อรู้ตัวนี้ ลูกจะไม่สามารถเรียนรู้จากห้องเรียนได้เลย หรือจากหนังสือ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้คือ สาระ แก่นสาร ของธรรมชาติแท้ในมนุษย์ ซึ่งลูกจะต้องเรียนรู้ได้ จากตัวของลูกเองเท่านั้น ความมั่นใจในการเรียนรู้ และการรู้จักตัวเอง จะช่วยให้ลูกสามารถควบคุมกำหนดทิศทางและเป้าหมายของชีวิต ลูกได้ การกระทำของลูก หลังจากมีการกำหนดทิศทางเป้าหมาย อย่างมั่นใจ มันจะเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริง เบิกบานอย่างอิสระ ชีวิตและงานของลูก จะให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เบาใจ ซึ่งจะคอยประคับประคอง ทะนุถนอมในทุกสิ่งที่ลูกกระทำ แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตทั้งหมดของลูกก็จะกลับกลายเป็นงานศิลปะ จะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกายกับใจ ระหว่างการเรียนรู้ และประสบการณ์ของชีวิตในแต่ละขณะ ลูกจะสามารถเชื่อถือและพึ่งตนเองได้ ลูกจะมีความโปร่ง รู้สึกโล่งเบา ใสสะอาด ชัดเจนอย่างยิ่งยวด สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกมีความคิดได้อย่างฉลาด แจ่มใสชัดเจน เมื่อความรู้สึกอันนี้เกิดขึ้น มันจะทำให้ลูกได้มีเชื่อมั่นตนเองมากขึ้นอีก


22
 ลูกรัก......
     ความ โปร่งใจ แจ่มใส สงบและรู้เนื้อรู้ตัวนี้ มันอยู่ในคนทุกคนมันขึ้นอยู่ที่ว่า คนใดจะสามารถพัฒนาให้ถึงมัน และนำมันออกมาใช้ ได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และถ้าผู้ใดสามารถพัฒนาและนำมันออกมาใช้ได้แล้ว มันจะทำให้ผู้นั้นเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เขาจะเกิดความเข้าใจ ความสงบอย่างสัน



    ลูกรัก... ลูกรัก......
     ความ โปร่งใจ แจ่มใส สงบและรู้เนื้อรู้ตัวนี้ มันอยู่ในคนทุกคนมันขึ้นอยู่ที่ว่า คนใดจะสามารถพัฒนาให้ถึงมัน และนำมันออกมาใช้ ได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และถ้าผู้ใดสามารถพัฒนาและนำมันออกมาใช้ได้แล้ว มันจะทำให้ผู้นั้นเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เขาจะเกิดความเข้าใจ ความสงบอย่างสัน
...

     ความ โปร่งใจ แจ่มใส สงบและรู้เนื้อรู้ตัวนี้ มันอยู่ในคนทุกคนมันขึ้นอยู่ที่ว่า คนใดจะสามารถพัฒนาให้ถึงมัน และนำมันออกมาใช้ ได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก และถ้าผู้ใดสามารถพัฒนาและนำมันออกมาใช้ได้แล้ว มันจะทำให้ผู้นั้นเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง เขาจะเกิดความเข้าใจ ความสงบอย่างสันติ ทั้งยังจะทำให้เกิดความงอกงามในทางร่างกายและจิตใจ ชีวิต การงาน ครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสรรพสิ่งจะยิ่งเพิ่มพูนคุณค่า และความหมายมากขึ้น อีกทั้งยังจะเกิดความรู้สึกอิสระเสรี ในการมีชีวิต ชีวิตที่แท้ จะเกิดความปีติอย่างล้ำลึกยาวนาน ในการเกิดและการมีชีวิต



    ลูกรัก......
     เจ้า จงจำไว้ด้วยนะว่า พ่อพูดว่า การมีสมาธินั้น มิใช่การฝึกวินัยอย่างเข้มงวดกวดขันตายตัว แต่มันหมายถึงการผ่อนคลาย การทำใจให้สงบอย่างธรรมชาติที่สุด สมาธิที่ลูกต้องการนั้น มันควรจะรวมกับกายและใจ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบสบายๆ อันเป็นคุณภาพที่อ่อนโยน ไม่เข้มงวดตายตัวลูกสามารถทำสมาธินี้ได้ แม้ในการทำงาน โดยการทำงานทีละอย่าง อย่างทุ่มเทจดจ่อ ให้ความสนใจทั้งหมดแก่งานอย่างเต็มที่ และละเอียดถี่ถ้วน ใส่ใจอย่างต่อเนื่อง จนงานนั้นเสร็จเรียบร้อย

     ในขณะเดียวกัน ก็อย่าทำงานด้วยความกังวล อย่าทำงานด้วย ความเครียด และอย่าผูกใจไว้กับผลของงานเมื่องานเสร็จ เพราะ การผูกใจไว้กับผลของงาน เมื่องานนั้นได้ผล ลูกจะประมาทได้ใจ แต่ถ้าผลของงานนั้นเสีย ลูกก็จะต้องเสียใจ ลูกควรจะทุ่มเท สนใจ ผูกใจเฉพาะ ในขณะที่ทำงานนั้นๆ เท่านั้น แล้วลูกก็จะพบกับความชัดเจน ความเข้าใจลึกซึ้งถี่ถ้วนขึ้น นี่คือการทำงานตามวิถีทางแห่งธรรมชาติ ด้วยความโปร่งใจ แจ่มใส และสงบ ความ รู้เนื้อรู้ตัวของลูกก็จะเกิดขึ้น และมีความละเอียดอ่อนที่จะรู้ทั่วถึงการไหวแห่งความคิด ลูกจะสามารถรับรู้และรู้สึกถึงการไหวแห่งความคิด อารมณ์ การที่ลูกจะกระทำเช่นนี้ได้ เพราะอาศัยความ รู้เนื้อรู้ตัว จึงเป็นการรวมตัวของพลังอำนาจ ลูกจะเกิดความชัดเจน ใสสะอาดในสำนึกของตน ซึ่งมันก็สามารถสัมผัสได้ แม้กระทั่งความ เล็กน้อยที่สุดของประสบการณ์ และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ หากปราศจากความรู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แม้ว่าลูกจะให้ความใส่ใจ และเพียร พยายามจะสัมผัสซึมซาบกระทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยความชัดเจน แจ่มใสเพียงใด ลูกก็จะเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่สร้างปราสาททรายเอาไว้ชายทะเล โดยไม่คำนึงว่า คลื่นลมจะทลายมันลงไปในเวลา อันรวดเร็ว

     พ่ออยากจะพูดให้เจ้าได้ ฟังอีกสักครั้งหนึ่งว่า หากว่าเจ้าปราศจากความรู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แม้ว่าลูกจะให้ความใส่ใจ และเพียรพยายามจะสัมผัสซึมซาบต่อการกระทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยความชัดเจน แจ่มใสเพียงใด ลูกก็จะเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่สร้างปราสาททรายเอาไว้ชายทะเล โดยไม่คำนึงว่าคลื่นลมจะทลายมันลงไปในเวลาอันรวดเร็ว
 










 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น