วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

พระโพธิสัตว์กับเด็กน้อย

 พระโพธิสัตว์กับเด็กน้อย

ตอนที่ ๔
สติมั่น ใจมั่น รับฟังคำสอนพระโพธิสัตว์
หลวงปู่พุทธอิสระ
   หลวงปู่พุทธอิสระท่านเป็นห่วง "พุทธศาสนา" มาก เพราะปัจจุบัน "สมณะ" ที่รู้เรื่องคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามีน้อยมาก สมณะส่วนใหญ่จะมุ่งไปทางปริยัติ ขาดการปฏิบัติ และปฏิเวธ ความรู้อยู่ที่ตำรา อยู่ที่ความจำไม่ได้อยู่ในใจ พ้นกึ่งพุทธกาลไปแล้วศาสนาจะเป็น "คอคอดขวด" ดังนั้น หลวงปู่ฯ ในฐานะพระมหาโพธิสัตว์ และพระมหาโพธิสัตว์องค์อื่นๆ จึงต้องมาช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้อยู่ตลอดรอดฝั่งไปจนถึง ๕,๐๐๐ ปี
ผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม 
        "หลวงปู่" จึงอายุยังน้อย แต่ผู้คนเรียกว่า "หลวงปู่"  เรื่องนี้หลวงปู่ฯ เล่าให้ฟังว่า บวชพรรษาแรกก็ตั้งใจจะไปหาอาจารย์เพื่อศึกษาหาความรู้ จึงธุดงค์ไปหา "หลวงปู่แหวน" เมื่อหลวงปู่แหวนเห็น ก็รีบมารับกลด รับบาตร ปูอาสนะให้หลวงปู่ฯ นั่ง กราบหลวงปู่และเรียกว่า "อาจารย์ปู่" บังเอิญมีนักเรียนแพทย์ติดตามหลวงปู่ไปด้วยก็เลยเรียกตามๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน 
        ในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อ  พ.ศ. ๒๓๕ มีพระเถระ ๕ องค์ คือ พระโสณะ, พระอุตตระ, พระฌานียะ, พระภูริยะ, พระมุนียะ ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาจากพม่าไปจรดเมืองญวน และจรดแหลมมาลายู โดยได้สร้างสถูปแห่งแรก บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่เรียกว่า "พระปฐมเจดีย์" ที่จังหวัดนครปฐม 
        พระอุตตรเถระ ท่านอยู่ต่อที่ประเทศไทย เพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้รอดปลอดภัย จนกว่าจะครบ ๕,๐๐๐ ปี ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง และ ปฏิสัมภิทาญาณ 
        ท่านเคยมาจุติเป็นพระสังฆราช แห่งลังกา และพระบรมครู ในสมัยกรุงสุโขทัย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ท่านจุติเป็น พระครูเทพโลกอุดร เกี่ยวข้องกับ สมเด็จฯ วังหน้า และได้มีการขุดพบกรุพระเครื่อง พระบูชาจำนวนมากที่บวรสถานสุทธาวาส กรุงเทพฯ พบพระบูชารูปเหมือนพระครูเทพโลกอุดร ขนาดหน้าตัก ๕.๕ นิ้ว และพระเครื่องสลักชื่อด้านหน้าขององค์พระ "พระครูเทพโลกอุดร" 
        พระครูเทพโลกอุดร เป็นพระที่บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ อย่างแรงกล้า จนสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยปี พระลูกวัดรูปหนึ่งกล่าวว่า ตอนที่พระครูเทพโลกอุดร จะมาเกิดใหม่มีร่างให้เลือกเพียง ๒ ร่างเท่านั้น คือ สุนัขและเด็กชายคนหนึ่ง ผู้ที่กำลังป่วยหนัก เป็นโรคโลหิตเป็นพิษ ในครอบครัวที่ยากจน ซึ่งถึงแก่อายุขัย พระครูเทพโลกอุดร จึงเลือกร่างของเด็กชายสุวิทย์ ทองประเสริฐ 
        ตั้งแต่เด็กท่านอยากจะบวชเป็นสามเณรแต่ก็ไม่มีเงิน จึงต้องทำงานจนมีเงินเก็บพอถึงได้บวชเป็นพระที่ วัดคลองเตยใน พรรษาแรกท่านธุดงค์ไปกับนักเรียนแพทย์ ๒-๓ คน ไปหาหลวงปู่แหวน ตามที่ได้เล่าไปแล้ว เมื่อลาหลวงปู่แหวนแล้ว ท่านก็ธุดงค์ลงใต้มาเรื่อยๆ ไปทางแม่น้ำสะแกกรัง พบวัดเปิดไฟสว่างไสว ก็เข้าไปนั่งที่โคนต้นไม้ ปรากฏว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้บอกญาติโยมไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า "พระองค์ที่ ๑๐" จะมา 
        หลวงปู่ซึ่งไม่ทราบอะไรอยู่ๆ ก็พบว่ามีผู้คนมายืนมุงดูกันเต็มไปหมด ผู้คนต่างก็เข้ามากราบและสอบถามธรรมะกับหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบไปเป็นเวลา ๑ วันกับอีก ๑ คืนเต็มๆ ไม่สามารถที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำได้เลย ได้รับบริจาคเงิน ทอง แก้ว แหวน เพชร พลอย เป็นจำนวนมาก ซึ่งหลวงปู่ได้ยกให้กับทางวัดท่าซุงไปจนหมด เวลาที่ท่านจะสรงน้ำในแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งเต็มไปด้วยผักตบชวา ก็ปรากฏว่ากระแสน้ำไหลอย่างไรไม่ทราบเปิดเป็นช่องว่างให้ท่านได้ลงไปสรงน้ำ จนเป็นที่น่าอัศจรรย์ของผู้คนที่เฝ้าดูอยู่

หลังจากที่หลวงปู่กลับมาที่วัดคลองเตย ในแล้ว ไม่กี่วันต่อมาท่านก็ได้ไปอยู่ป่าอีกหลายปี ธุดงค์ไปทิเบต ไปลาว และได้ไปพบถ้ำพระโพธิสัตว์ที่เทือกเขาภูพาน มีสมบัติและมีหุ่นพยนต์รักษาสมบัติ ท่านอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้บัญญัติท่าสมาธิพระโพธิสัตว์ ๘๔ ท่า ซึ่งมีทั้งท่ายืน เดิน นั่ง นอน ต่อมาท่านไปพบ "อาวาสสัปปายะ" ที่ถ้ำไก่หล่น ใกล้ป่าละอู อำเภอหัวหิน ท่านก็อยู่ที่นั่นหลายปี จนคุณยายทองห่อ ได้บริจาคที่ดินน้ำท่วม ๑๐ ไร่ ที่นครปฐม ให้กับหลวงปู่สร้างวัด พระซึ่งเดิมอยู่กับท่าน ๖๐ กว่ารูป ก็ค่อยๆ หายไปเหลือแค่พระ ๒ รูป หลวงตาสนิท และพระหนุ่มอีกรูปหนึ่ง กับสามเณรอีก ๓ รูป 



หลังจากที่ได้จัดการเรื่องน้ำท่วมแล้ว ท่านก็ขุดหลุมใหญ่ขนาด ๓ คนเข้าไปนั่งได้ แล้วเอาตุ่มราชบุรีวางไว้ที่ก้นหลุม จากนั้นก็บรรจุในตุ่มด้วยพระเครื่องเก่าๆ ที่ท่านได้สร้างไว้เมื่อสมัยยังอยู่ในร่างพระครูเทพโลกอุดร แล้วปิดด้วยผ้าสีแดง เขียนด้วยยันต์สวัสดิกะ (เครื่องหมายแทนพระพุทธเจ้า) ปูด้วยผ้าขาวทับและนำอัฐิหลวงปู่ทวดมาไว้บนผ้าขาว


ท่านอยากจะได้ต้นศรีมหาโพธิ์ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรามาปลูก วันรุ่งขึ้นก็ปรากฏว่ามีนกตัวใหญ่รูปร่างแปลก คาบอะไรมาด้วยพอเห็นหลวงปู่ก็ทิ้งของที่คาบมา ปรากฏว่าเป็นต้นโพธิ์เล็กๆ ๓ ต้น หลวงปู่จึงปลูกต้นโพธิ์ไว้บนอัฐิของหลวงปู่ทวด

ต่อมาต้นโพธิ์ได้แตกหน่ออีก ๒ หน่อ เป็น ๕ ต้น (พระศรีอริยเมตตรัย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ของภัทรกัปนี้) ต่อมาหลวงปู่จึงได้สร้างเจดีย์ล้อมรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็น "พระโพธิ์เจดีย์"


และปั้นรูปเหมือนหลวงปู่ทวดไว้ที่หน้า เจดีย์ เวลาเข้าพรรษาพระลูกวัดไปทำวัตรเย็นในพระอุโบสถ ส่วนหลวงปู่จะไปทำวัตรเย็นองค์เดียวเพียงลำพังอยู่ที่หน้าพระโพธิ์เจดีย์


หลวงปู่พุทธอิสระมักจะทำงานตลอดเวลา อบรมสามเณร พาสามเณรไปเรียนรู้การธุดงค์ อบรมพระอาจารย์กรรมฐานหลายรุ่น  เทศน์เป็นประจำ ณ หลายสถานที่ ถ้าว่าง หลวงปู่ฯ ก็จะเดินดูแลพรรณไม้ และบำรุงรักษาให้เจริญงอกงาม เพื่อเป็นร่มเงาร่มเย็นแก่ผู้มาปฏิบัติธรรม และนกกาได้มาอาศัย หลวงปู่ฯ ให้ข้อคิดว่า

"การค้นหาตัวตน เป็นกิจเบื้องต้นของศาสนานี้ การรู้จักตนอย่างแจ่มแจ้งและถ่องแท้เป็นกิจเบื้องปลายของศาสนธรรมนี้" และ

"การที่พ่อให้เจ้าเรียนรู้พระธรรม มิได้หมายให้เจ้ารู้แล้วเอาไปเปรียบกับใครหรือควบคุมใคร เป็นนายใคร แต่พ่อให้เจ้าเรียนรู้ เพื่อที่จะสามารถควบคุมตนเองได้ เป็นนายของตนเองได้ เปรียบเทียบตนเอง โดยใช้พระธรรมเป็นแนวทาง และเมื่อชีวิตทั้งชีวิตของเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพระธรรม ถึงวันนั้น ผู้อื่น คนอื่น เขาจะมาขอร้องให้เจ้าช่วยพัฒนาเขาเองโดยที่เจ้าไม่ต้องเป็นผู้เสนอ"
พระโพธิสัตว์กับเด็กน้อย ดร.ศักดา บุญยรักษ์

ตอนที่ ๖… "สวัสดิกะ"
        
         วันนี้ ( ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐) ผมได้ไปฟัง “หลวงปู่พุทธะอิสระ” แสดงธรรม มรเรื่องที่น่าสนใจจะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบคนส่วนจะรู้จักเครื่องหมาย “สวัสดิกะ” (รูปที่ ๑) ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้จักว่าเป็นสัญลักษณ์ของจอดเผด็จการ “ฮิตเลอร์” (HITLER) ผู้ที่สั่งฆ่ายาวยิวไปหลายล้านคน แต่จริงๆ แล้ว สัญลักษณ์สวัสดิกะเก่าแก่กว่านั้นมาก เวลา ๒๐๐-๓๐๐ ปีหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ไม่มีการสร้างรูปเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า “อัปปะฎิโม” ไม่มีผู้เปรียบ “อัตภาพ” ความเป็นตัวตน (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ หน้า ๒๑๔) ช่วงนั้นไม่สามารถสร้างสัญลักษณ์รูปได้เหมือนพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะ “ฉัพพรรณรังสี” ถ้าสัญลักษณ์ไม่เหมือนก็จะเป็นการปรามาสพระพุทธเจ้า ในสมัยนั้นจึงไม่มีใครสร้างพระพุทธรูป สิ่งที่พระพุทธเจ้าให้แทนตัวตน คือ พระธรรม และพระวินัย  “ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า พุทธพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มีข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา” (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๓๒๐) 

         ในศตวรรษที่ ๑ ถึงศตวรรษที่ ๕ ชาวพุทธจึงใช้สัญลักษณ์สวัสดิกะแทน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือแทนอริยสัจ ๔ ไม่น่าเชื่อว่าชนชาติต่างๆ ในโลกเกือบทั้งหมดรู้จักเครื่องหมายสวัสดิกะกันทั้งนั้น อาทิเช่น ชนชาติอินเดียโบราณที่นับถือศาสนาพราหณ์ และฮินดู จะมีเครื่องหมาย “สวัสดิกะ” อยู่ที่หน้าผาก หรือที่อก
 คนยิวโบราณ ก็ใช้เครื่องหมายสวัสดิกะอยู่ในดาวของเดวิด (STAR OF DAVID) เป็นต้น แม้แต่ชาเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกาก็รู้จักสวัสดิกะ
 ชนเผ่าอียิปต์โบราณ ใช้สัญลักษณ์สวัสดิกะเป็นความหมายของวัฏจักร คือ ความเจริญ และความเสื่อม หมุนเวียนไมมีวันจบ ชาวจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี ธิเบต เชื่อว่วสัญลักษณ์สวัสดิกะเป็นเครื่องหมายของพลังอำนาจ และผู้ใดเข้าถึงพลังอำนาจนั้น จะสามารถเข้าถึงประตูมิติและกาลเวลาได้
 ชาวไทย พม่า ลาว เขมร มอญ รู้จักสัญลักษณ์สวัสดิกะในฐานะพระธรรม ความมีมงคลและเครื่องรางของขลัง ถ้าเราไปวัดจีนหรือศาลเจ้ารูปที่ประชาชนเคารพถ้าเป็นพระพุทธเจ้าจะจะมีสวัส ดิกะที่หน้าอกและฝ่ามือ ถ้าเป็นพระโพธิสัตย์จะมีสวัสดิกะอยู่ที่หน้าผาก คำว่าสวัสดิกะภาษาไทยแปลว่า ความสวัสดีมีสุข “ม.จ. สุภัทรดิศ ดิสกุล” ได้เขียนและแสดงรูปสวัสดิกะตามหลักฐานโบราณ (รูปที่ ๓) ในประเทศไทยมีพระภิกษุผู้ที่รู้จักวิธีใช้สวัสดิกะมี ๓ องค์เท่านั้น คือ หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อกบ และหลวงปู่พุทธะอิสระ พระสามัญโพธิสัตย์ พระโพธิสัตย์ และพระมหาโพธิสัตย์ “หลวงปู่พุทธะอิสระ”ยังเล่าต่อไปว่า เมื่อพระสมณะโคดมตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็นั่งดูย้อนหลังกลับไปถึงพระพุทธเจ้าองค์แรก และทุกๆ องค์จนมาถึงพระองค์ พบว่าพระพุททธเจ้าทุกพระองค์มีพระธรรมเป็นสรณะ (ที่พึ่ง)  พระสามัญโพธิสัตย์ คือ ผู้ที่พึงปรารถนาพุทธภูมิ
 “พระโพธิสัตย์” ก็อยู่ระหว่างกลาง คือ อยู่ระหว่างบำเพ็ญบารมีอยู่ ส่วน “พระมหาโพธิสัตย์” นั้นเหลืออีกไม่กี่ชาติก็จะเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากที่โลกเข้าสู่ยุคมืดด้วย วาตภัย อัคคีภัย หรือ อุทกภัย

         พระโพธิสัตย์แตกต่างจากพระพระอรหันต์  หลวงปู่ฯ บอกว่า “จิตของพระโพธิสัตย์ก็เหมือนกับจิตของพระบรมโอรส พระราชกุมาร พระราชธิดา พระบรมวงศานุวงศ์ ถือว่าเป็นจิตของผู้มรสุขุมาลชาติ เป็นชาติตระกูลของบุคคลที่จะได้นั่งบัลลังก์สืบราชสมบัติต่อไป นั่นเรียกว่า “จิตของพระโพธิสัตย์”
 ส่วนจิตของพระอรหันต์ก็เหมือนจิตบของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เสนาบดี เพราะฉะนั้นเวลาที่จะมีพระราชประเพณี ราชกิจต่างๆ พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จเป็นตัวแทนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ท่านจะนั่งสูงเหนือกว่านายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เสนาบดี นั่นเป็นเพราะว่าท่านมีหน่อเนื้อเชื้อไขของบุคคลที่ผู้ที่จะปกครองแผ่นดิน เพราะฉะนั้นผู้มีจิตของพระโพธิสัตย์ก็มีโอกาสที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าใน อนาคต ถือว่าเป็นขัตติยะตระกูล เป็นบุคคลที่สูงส่ง แต่พระอรหันต์หรือพระอรหันต์สาวก ก็เป็นบุคคลที่ต้องตามพระโพธิสัตย์ ต้องตามขัตติยะตระกูล ก็คือเป็นบุคคลผู้รับบัญชา รับคำสั่งสอน การแตกต่างกันด้วยขั้น ด้วยลักษณะ สถานะ และด้วยการศึกษาเรียนรู้”

 ตอนที่ ๗
 ทำไมพระสมณะโคดม พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ของกัลป์นี้ จึงไม่ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หมด
 พระพุทธเจ้า พระสมณะโคดม ทำไมไม่อยู่ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หมดก่อนจะเสด็จปรินิพพาน เพียงแต่ท่านจะเลือกช่วยเหลือเฉพาะบุคคลที่พร้อมจะได้รับการชี้แนะ คือ ท่านจะแบ่งบุคคลออกเป็นเสมือนดอกบัว ๔ เหล่า  และท่านจะเลือกช่วยเหลือเฉพาะดอกบัวที่ปริ่มน้ำ กับดอกบัวที่พ้นน้ำ ซึ่งจะไม่ช่วยเหลือดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ  และดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม เพราะเป็นคำอธิษฐานของท่านเมื่อครั้งยังเป็นพระมหาโพธิสัตย์
 ซึ่งพระมหาโพธิสัตย์แต่ละองค์จะอธิษฐานแตกต่างกันก่อนจะเป็นพระ พุทธเจ้า พระโพธิสัตย์ทุกพระองค์จะต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศน์จนแก่กล้า แล้วได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเสียก่อน จึงจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
 ตามที่เคยได้เล่าให้ฟังไปแล้วว่า “หลวงปู่พุทธอิสระมหาโพธิสัตย์” ชอบธุดงค์ไปในป่าดง ครั้งหนึ่งขณะที่ธุดงค์อยู่แถวเทือกเขาภูพาน ท่านป่วยจึงไปนั่งพิงต้นไม้ที่ขึ้นติดภูเขา ที่นั่นมีโพรงไม้ท่านจึงแหวกวัชพืชรกๆ ออกแล้วเข้าไปในโพรงไม้นั้นปรากฏว่าพอลงไปกลายเป็นถ้ำซึ่งมีหีบสมบัติ และมีหุ่นพยนต์รักษาถ้ำแห่งนี้อยู่ ถ้ำนี้คือ “ถ้ำพระโพธิสัตย์” ซึ่งมีพระสามัญโพธิสัตย์หลายรูปได้เคยมาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่
 ลูกศิษย์ที่บวชเนกขัมมะเป็นประจำหลวงปู่ก็ฝึกให้เพียงแค่ “ลมใครลมมัน” (เอาปานะบรรพ+สัมปชัญญะบรรพ) หลวงปู่ไม่ได้บอกทั้งหมดเพราะกลัวว่าผู้ที่บวชเนกขัมมะเป็นประจำ สมาธิยังไม่แกร่งกล้าถ้าไปทำที่บ้านโดยไม่มีใครควบคุมจะเป็นอันตราย

     สรุป- ที่หลวงปู่พุทธะอิสระอบรมพระอาจารย์กรรมฐานรุ่น ๑ : ภายในตัวเรานั้นมีพลัง ๒ ชนิดในกายนั้นก็คือ “พลังปราณ” กับ “พลังจิต” พลังปราณ จะเกิดขึ้นได้ด้วยสมดุลของธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุทั้ง ๔ คงสมดุลก็จะเกิดพลังปราณ  พลังจิต จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยสมดุลแห่งจิต คือ จิตต้องไม่กระเพื่อมจาก ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส เมื่อจิตมีพลังก็จะตั้งมั่นเหมือนดั่งขุนเขาที่ยืนตระหง่านต้านทานแรงลมและ พายุร้าย คนๆ นั้นจะมีชัยชนะตลอดกาล เหมือนดั่งพระพุทธเจ้าที่ทรงชนะพญามาร
 ถามว่า..ทำอย่างไรจะให้จิตไม่กระเพื่อม ทำยังไงจะให้ปราณนี้ยืนหยัด  และตั้งมั่นอยู่ในกาย  และทำยังไงถึงจะให้ทั้งปราณและจิตรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ ในความเป็นเอกบุรุษในตัวเรา เราก็คงจะต้องเริ่มต้นจากการสร้างสติไม่ใช่สติที่เกิดจากสมถะ แต่เป็นสติที่เกิดจากฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่เกิดจากพื้นฐานของความทรงจำ สติที่เกิดจากพื้นฐานของความทรงจำเป็นสติแห่งสมถะ แต่สติที่เกิดจากพื้นฐานของความเข้าใจมันไม่จำเป็นต้องใช้ความมีสมถะรุนแรง หรือว่าไม่จำเป็นต้องใช้กำลังมากมาย แต่ขณิกะเล็กๆ น้อยๆ เราควรฝึกสติให้ตั้งมั่นมาก เมื่อใดที่เรามีสติตั้งมั่นแล้วเราก็จะไม่ทำร้านทำลายใคร แล้วก็ไม่มีใครทำร้ายทำลายเราได้ จะยืนหยัดตั้งมั่นตระหง่านอยู่ได้อย่างไม่ไหวหวั่น วิธีการอาจจะเริ่มจากในข้อมหาสติปัฏฐานสูตร พระศาสดาทรงตรัสสอนไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย...นั่นป่าช้า...นี่ป่าชัฏ ท่านทั้งหลายจงตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น ผมตัดเอาเฉพาะคำว่าตั้งกายให้ตรงที่มีความหมาย หลายคนอาจจะคิดว่าตั้งกายให้ตรงนี้ต้องนั่งเฉยๆ เท่านั้น นอนไม่ได้ ยืนไม่ได้ ต้องนั่งอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น การตั้งกายให้ตรงของพระพุทธเจ้าก็คือ การทำความรู้สึกทั่วเนื้อตัว ทำให้โครงสร้างภายในกายนี้อยู่ในลักษณะเป็นแนวดิ่งทุกอริยาบถ งอขาได้ งอแขนได้ แต่งอหลังไม่ได้ เพราะปราณเดินอยู่ในกระดูกไขสันหลังตั้งแต่หัวจรดก้นกบ การงอหลังก็เหมือนกับการที่เราเอาสายยางใส่น้ำแล้วปล่อยให้มันไหล แล้วสุดท้ายเราก็ไปหักมัน น้ำมันจะไหลไปได้แต่ไม่ค่อยดี
 พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าต้องตั้งกายให้ตรงเท่านั้น คนที่ฝึกสติจะสังเกตว่าเป็นคนนั่งหลังไม่งอ เพราะเขารู้ว่าเมื่อใดที่หลังงอจะขาดสติ เมื่อปราณนี้เดินได้สะดวกจะเป็นเครื่องพยุงให้จิตนี้ตั้งมั่นได้ง่ายและไม่ สับสน ไม่เหนื่อย ไม่หน่าย ถ้าเมื่อใดที่เรานั่งหลังตรงๆ นอกจากเราจะได้พลังปราณ พลังจิตเราก็ตั้งมั่นด้วย
 สุญญตสมาธิ“ไม่ต้องการให้คนมาศรัทธา แต่ทำตัวเองให้ศรัทธาตัวเอง ทำตัวเองให้ดีจนตัวเองสามารถกราบไหว้ตัวเองได้อย่างสนิทใจ” (หลวงพ่อเทียนก็ได้เคยกล่าวเช่นนี้เหมือนกัน)
 หลวงปู่พุทธอิสระ เขียนบทโศลกบทหนึ่งว่า“ลูกรัก ประตูของธรรมชาติ จักรวาล และนิพพาน จะเปิดก็ต่อเมื่อใดที่ใจเจ้าไร้การปรุงแต่ง” หลวงปู่พุทธะอิสระมหาโพธิสัตย์ ได้ขยายความเรื่องของ “จิตพุทธะ” ในการฝึกอบรมผู้บวชเนกขัมมะ ที่ธุดงค์สถานทองผาภูมิ เมื่อวันที่ ๙-๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยการฝึก “สุญญตสมาธิ” หลวงปู่สอนว่า จิตมีหน้าที่เพียง ๔ อย่าง คือ ๑. รับ    ๒. จำ  ๓. คิด  ๔. รู้ ปุถุชนมักจะรับและจำไว้ก่อน แล้วถึงจะนำมาคิดภายหลังที่เหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้ว อาทิเช่น คนแสดงกริยาไม่ดีกับเราเราก็จะรับและจำไว้ก่อน พอจะนอนก็นำมาคิดทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นได้ผ่านไปแล้ว การคิดทำให้ “ปฏิจจสมุปบาท” ทั้ง ๑๒ ขั้นหมุนไปแล้วหนึ่งรอบ อวิชชาเกิดขึ้นแล้วและจบลงด้วย ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
 
        ดังนั้นเมื่อพราหมณ์มากอดเท้าองค์พุทธะขณะบิณฑบาต ให้องค์พุทธะตอบว่าหัวใจของคำสอนขององค์พุทธะคืออะไร องค์พุทธะตอบว่า “เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน” “หลวงพ่อเทียน” ได้สอนบรรดาศิษย์ทั้งหลายให้ฝึกสมาธิให้กล้าแข็งเป็น “มหาสติ” แล้ว ก่อนที่ความคิดจะเกิดสติจะรู้ก่อนเมื่อรู้แล้วก็วาง ไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง คือให้ตัวรู้นำตัวรับ หลวงพ่อเทียนอุปมาอุปมัยไว้ว่า สำหรับปุถุชนธรรมดาความคิดจะเป็น “หนูยักษ์” สติจะเป็น “แมวน้อย” เมื่อหนูยักษ์โผล่มุมมาพบกับแมวน้อย แมวน้อยจะวิ่งหนี เราต้องขุนแมวน้อยด้วยการฝึกสติจนแมวตัวใหญ่กว่าหนูยักษ์ เมื่อโผล่มุมมาพบกันอีกหนูยักษ์ก็จะวิ่งหนีแมวยักษ์  ความคิดจะไม่เกิดเพราะมีตัวรู้คอยควบคุมอยู่ คือให้จิตนั้นมี “รู้” นำหน้า แล้ว “วาง” ไม่จำเป็นไม่ต้องคิด (อ่านต่อฉบับหน้า)
 

ตอนที่ ๘... 
พระมหาโพธิสัตว์ คือผู้เสียสละและแบ่งปัน ...
ช่วยเหลือและปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง
       ครั้งหนึ่ง “หลวงปู่โง่น โสรโย” กับ “สามเณรบุญชุ่ม ญาณสังวโร” ได้ไปพบกับ “หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร” ก่อนที่จะมาเป็น “หลวงปู่พุทธะอิสระ” บ้านเกิดของพระครูโลกเทพอุดร คือ หมู่บ้านยาลัมเอฟเวอร์เรสท์ ที่ภูเขาหิมาลัย ชื่อจริงของท่านคือ “พระอุตระ” น้องชายชื่อ “พระโสณะ”
 หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร เป็นพระอทิสมานกาย มีกายทิพย์ จะเกิดจะดับเมื่อไรก็ได้ หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรอาศัยอยู่ในหินแท่งใหญ่ที่มีรั้วทองแดงล้อมรอบ เมื่อหลวงปู่โง่นอ่านตัวอักษรที่ได้สลักไว้ในแผ่นหินป้ายใหญ่โบราณก็ปรากฏ ว่ามีพระสงฆ์รูปร่างใหญ่เดินออกมาจากป้ายหินอันนั้น และเดินผ่านรั้วทองแดงสูง ๒ เมตรได้เสมือนไม่มีรั้วกั้นเลย ท่านได้เดินยิ้มออกมาจับมือทักทายกับหลวงปู่โง่นแล้วกล่าวว่า 
         “ขะมะนิยังอาวุโส” หลวงปู่โง่นตอบท่านว่า 
         “ขะมะนิยังภันเต” 
 พวก โยมๆ อยากถ่ายรูปเป็นที่ระลึก หลวงปู่โง่นยืนกลาง สามเณรบุญชุ่มยืนด้านซ้าย หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรยืนด้านขวา แต่เมื่อกลับกรุงเทพฯ แล้ว กล้องทุกกล้องจะมีภาพเหมือนกันหมด คือ รูปหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรกลับไม่ใช่พระสงฆ์ แต่กลายเป็นแขกมีผ้าพันศีรษะ


 
     ในประเทศไทยช่วงนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าถูกบิดเบือน พระสงฆ์บางรูปก็ไม่ค่อยจะมีพระวินัย ก็ถึงคราวที่หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรจะต้องมาเข้าร่างมนุษย์ เพื่อทำงานค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี เกี่ยวกับหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร หลวงปู่โง่น ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คน ไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอม ที่ผู้คนละโมบโลภหลงเอาชื่อท่านมาขายกิน ในสังคมไทยไม่รู้ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรเกิดมาที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป”      หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ปัจจุบันได้มาเกิดเป็น “หลวงพ่อพุทธะอิสระ” จากคำพูดของหลวงปู่พุทธะอิสระมหาโพธิสัตว์ที่ได้เทศออกอากาศ เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๕๐ คำพูดของท่านผู้เขียนได้นำมาลงไว้โดยเต็มไม่ได้ตัดตอนแต่อย่างไร 
     “ความเสียสละและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ได้รับการฝึกจากการนอนหลับอันยาวนาน ในสถานที่ๆ ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน ในทิศทางใดของโลกและจักรวาลนี้ รู้แต่เพียงว่าที่ๆ หลวงปู่หลับใหลนั้นมันเป็นที่ๆ สุขสบายมีทุกอย่างที่พร้อมมูล และเปี่ยมไปด้วยกลิ่นไอแห่งรสชาติของพระธรรม มากมีไปด้วยสรรพวิทยาและเนืองนองเนืองแน่นไปด้วยกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ที่ต่างพากันปฏิบัติธรรม เจริญธรรม เพื่อนำเอาพระธรรมที่ปฏิบัติและเจริญเหล่านั้น มาช่วยปลดปล่อยช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัย
  กลิ่นไอและบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยมหามิตรอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความการุณ อาทร เมตตา อนุเคราะห์ จริงใจ และก็ให้อภัยต่อกันและกัน เต็มเปี่ยมและอุดมมั่งคั่งไปด้วยความรัก ความเกื้อหนุน อนุเคราะห์เกื้อกูลต่อกันและกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดแม้แต่จะคิด จะทำในสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระธรรม 
    สถานที่ๆ หลวงปู่อยู่หรือหลับใหล เป็นสถานที่ๆ สุขสบาย และพอเหมาะพอดีต่อสถานภาพ ต่อความไม่กังวลของชีวิตความเป็นอยู่ของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่ได้เฉพาะคนๆ  หนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะไปคิดว่าจะต้องมีคนๆ นั้นอยู่กับเรา คนๆ นี้อยู่กับเราด้วย คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นแน่ เพราะแต่ละคนที่อยู่ในที่นี้ก็ได้อยู่เพื่อคนๆ หนึ่ง ก็คือตัวเอง  แล้วก็นำพาตัวเองที่อยู่รอดอยู่ได้นั้นไปช่วยปลดปล่อย ช่วยเหลือและเกื้อกูลอนุเคราะห์ต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมความแล้วก็เป็นที่เฉพาะคนเท่านั้น ไม่มีใครมีสิทธิ์คิดจะเอาญาติ เอาคนรัก คนชอบ คนชัง เข้าไปอยู่ด้วยได้เป็นแน่  
    หลังจากหลวงปู่ได้ลุกขึ้นมาจากความหลับใหล โดยการมีเสียงปลุกขึ้นมาให้ตื่นขึ้นมาได้ทำงาน ได้ทำหน้าที่ หลวงปู่ก็ได้เที่ยวแสวงหาสถานที่ๆ หลวงปู่จะต้องอยู่และทำงาน จนกระทั่งหาไปรอบๆ หาไปได้ทั่วๆ พบพา เจอบุคคล สรรพสัตว์ ทุกหนทุกแห่งที่ไปต่างตกทุกข์ เดือดร้อน ระทม และระคนปะปน เศร้าหมองและขุ่นมัว มั่วไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีใครมีความสุขสมอารมณ์สมปรารถนา มีแต่คนสิ้นหวังผิดหวัง แล้วก็ไม่รู้จะหวังอะไร เพราะสิ่งที่เขาหวังมันเกินเลยต่อความรู้ ความสามารถของเขา ทุกสังคมทุกกระบวนการ ทุกวิถีทาง หลวงปู่ได้เลือกสรรเลือกเฟ้น และเข้าไปสัมผัสทดลอง แล้วก็คิดว่าเราจะอยู่กับใครดี เราจะอยู่กับชีวิตชนิดใดดี เราควรจะอยู่ในสถานะและตระกูลไหนดี เราจะอยู่กับบุคคล ตัวตนเช่นไรดี 
    จนในที่สุดหลวงปู่ก็ได้เห็นครอบครัวๆ หนึ่ง ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มากมี แต่ก็มากมายไปด้วยน้ำใจ มากมายไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ให้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละและแบ่งปัน หลวงปู่เฝ้ามองครอบครัวนี้ด้วยความรู้สึกสนใจติดตามครอบครัวนี้ดูจนรู้ว่า แม้แต่ข้าวมื้อสุดท้ายของเขาสำหรับครอบครัวนี้ เขาก็ยังกล้าที่สละแบ่งให้แก่คนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติได้
    หลวงปู่ก็เลยคิดว่าการมีชีวิตเป็นอยู่กับครอบครัวซึ่งให้แม้กระทั่งข้าวมื้อ สุดท้าย ถือว่าเป็นชีวิตสุดท้ายของตนนี้มันน่าจะมีค่ามีราคา ทำให้เราได้ปัญญามากกว่าไปอยู่กับครอบครัวที่อุดมมงคล และมั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สิน หรือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ หลวงปู่ได้แต่เฝ้ามองดูว่าโอกาสจะให้เมื่อไร เวลาจะเหมาะเจาะขนาดไหน แล้วหลวงปู่ก็ได้เห็นคนๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กชายกำลังจะถึงกาลเวลาอันหมดจด คือหมดอายุขัย นั่นก็คือครอบครัวนี้มีลูกชายคนเล็ก เด็กคนนี้เป็นโรคร้ายซึ่งไม่มีใครจะรักษาได้ แม้แต่หมอแผนปัจจุบันก็ยังไม่ สามารถรักษาให้หาย (LEUKEMIA) 
    หลวงปู่ก็ได้รู้ว่าเด็กคนนี้จะตายภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลวงปู่เฝ้ามองเฝ้ารอเวลา รอช่วงจังหวะ จนกระทั่งถึงกาลวันหนึ่งครอบครัวนี้ได้ย้ายจากที่พำนัก จากคฤหาสน์หลังโต บ้านเรือนไทย ๒ ชั้น ขายให้กับคนทั้งหลายหรือว่าคนที่มีอันจะกิน เอาเงินมาเลี้ยงดูคนพิการอนาถาและเป็นง่อย จากเป็นเจ้าของบ้านกลายมาเป็นผู้เช่าบ้าน จากผู้เช่าบ้านต้องลงมาอยู่ใต้ถุนบ้าน สุดท้ายก็ต้องย้ายขยับขยายพาครอบครัวตัวเอง และคนอาศัยหนีไปอยู่ในป่า
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น