วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ประสบการณ์ลูกป้าแอ๋ว

ประสบการณ์จากลูกศิษย์หลวงปู่พุทธะอิสระ


เมื่อวันมาฆบูชา ระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ พ.. 2552 ครอบ ครัวข้าพเจ้าได้ตกลงกันไปปฏิบัติธรรมที่วัดอ้อน้อย โดยมี คุณแม่เป็นหัวหน้าใหญ่ คุณยาย คุณป้า และตัวข้าพเจ้าเอง สิ่งที่ไปพบและได้รับรู้กับประสบการณ์แปลกใหม่ เริ่มขึ้นในวันที่สองของการปฏิบัติธรรม




เช้า นี้หลวงปู่ท่านมีเมตตาลงมาฝึกอุบาสก และอุบาสิกาด้วยตัวท่านเอง เรารู้สึกว่า คราวนี้ทำไมท่านฝึกพวกเราหนักจัง นึกยังไม่ทันขาดคำ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าเราถึงกับล้มตึงหงายหลังลงมา คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างตกใจ ก็มี บางคนได้เข้าไปปฐมพยาบาล หลวงปู่ท่านทราบ ท่านบอกว่าความดันโลหิตมันลงเพราะตื่นแต่เช้า เวลาปฏิบัติให้ ค่อยๆทำ อย่ารีบ แล้วท่านก็เมตตาถามว่าศีรษะกระแทกพื้นหรือเปล่า ให้เอาชาสมุนไพรชงน้ำร้อน มาให้ผู้ป่วย เราก็มองๆ และคิดว่า เอ เราจะเป็นรายต่อไปหรือเปล่า ความดันตัวเองก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่


ต่อมาหลวงปู่ท่านเมตตาให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายไปพัก เพราะใกล้จะรับประทานอาหารเช้าแล้ว


เรื่องทั้งที่ไม่เคยพบและไม่เคยได้ยินก็เกิดขึ้นในช่วงนี้แหละ
คุณ แม่ได้ไปนั่งอยู่ที่ม้าหินริมสระน้ำ เพื่อหย่อนใจ เราเห็นว่าท่าจะดี ก็เลยเดินตามไปสมทบ ส่วนคุณยายและคุณป้า หายไปไหนไม่รู้ สงสัยไปทำกิจส่วนตัว ม้าหินที่คุณแม่นั่งอยู่นั้น มีผู้หญิงวัยประมาณ 40 ปีเศษ ได้นั่งอยู่ก่อน เราได้ยิน แว่วๆ ว่าเขากำลังคุยอะไรกันอยู่กับคุณแม่ เราก็ขอนั่งฟังไปด้วยได้ความว่า
คุณพี่ท่านนั้นถามคุณแม่ว่า : พี่นึกอย่างไรถึงมาปฏิธรรมที่นี่ พี่ใช้ตาไหนดู




คุณแม่: (นึกในใจ ถามอะไรแปลกๆ จะตาไหนล่ะ เราก็มีแค่ตาเรา กับตาปลานี่แหละ) แต่ด้วยมารยาทจึงตอบไปว่า เราเคยไปฟังธรรมของชมรมกัลยาณธรรม ที่ธรรมศาสตร์ ตอนแรกก็ยังไม่ศรัทธาท่านหรอก เคยเห็นท่านทางทีวี เรามี ความรู้สึกขัดๆในใจอยู่ แต่พอได้ฟังท่านเทศน์วันนั้นแล้ว คิดเลยว่าท่านอยู่ที่ไหน เราสี่คนแม่ลูกจะตามไป แล้วพวกเรา ก็ตามท่านมาเรื่อยๆ

คุณพี่: พี่อย่าไปคิดอคติกับท่านนะ นั่นน่ะ ตกนรกเอาง่ายๆ

คุณแม่: ก็ นี่แหละ เราก็สำนึกแล้ว ตามท่านไปฟังธรรมบรรยายตลอด พอเห็นหน้าท่านก็พูดกับท่าน ขออโหสิกรรม ท่านมองๆแล้วเมิน เรานึกในใจว่าจะทำอย่างไรดีหนอให้ท่านให้อภัยเรา จนกระทั่งครั้งแรกที่ได้ปฏิบัติธรรมกับท่าน พอเรามีโอกาสจะพูดขออโหสิกรรม ก็พูดไม่ออก กลับน้ำตาไหล กลับบ้านไปก็เล่าให้ลูกๆฟัง จะทำอย่างไรดี แม่ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่เลย

ลูก: พี่ รู้ไหม พวกหนูทำอย่างไร พวกลูกๆวางแผนกัน ว่าแม่ไม่ต้องพูด เดี๋ยวลูกจัดการเอง พอพบโอกาสครั้งต่อไป ไอ้พี่สาวคนโตตัวดีรีบรี่เข้ามาบอก " หลวงปู่คะ ยกโทษให้แม่หนูกับน้องๆด้วยนะคะ "ท่านก็ "เออ เจริญธรรม"

คุณแม่ : เราน่ะ พูดไม่ออก ร้องไห้เลย เหมือนยกภูเขาออกจากอก

คุณพี่: พี่รู้มั๊ย ที่ท่านเออน่ะ หมายถึงท่านให้พรด้วยนะ

ลูก : เหรอคะ หนูไม่เคยรู้ แล้วพี่ล่ะคะ ทำไมมารู้จักหลวงปู่ได้(เราชักเริ่มสงสัย เห็นถามแม่เราจัง ลองถามกลับบ้าง พี่คนนี้จะมาไม้ไหนกัน)

คุณพี่: เดิมที พี่ป่วยหนัก เป็นทั้งหมอนรองกระดูกทับเส้น โรคไทรอยด์ ทรมานมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร รักษาแล้วก็ไม่ ทุเลาลง ก็อยากทำบุญให้ท่านเจ้ากรรมนายเวร เผื่อจะได้อโหสิกรรมให้เราบ้าง

ลูก: แล้วพี่ทำอย่างไรคะ(นึกในใจ จะมาแนวไสยศาสตร์หรือเปล่า งานนี้)

คุณพี่:ขอเล่ายาวหน่อยนะคะ เดิมทีพี่มีครูที่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ อยู่ที่ระยอง

คุณแม่: เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ หายากนะ(แม่มองหน้าเรา เอาแล้วไง สงสัยจะเข้าทาง แม่ถามต่อ ด้วยความเป็นคน ช่างสงสัย) แล้วท่านไปเรียนกับใครมาจึงสำเร็จ

คุณพี่: เดิมที ครูของพี่เป็นคนแขก ครอบครัวไม่อยากให้มาทางพุทธ เวลาท่านนั่งสมาธิทีไร ก็จะถูกดุ ท่านจึงต้องเลิก จนกระทั่ง แม่ของอาจารย์ท่านกำลังจะเสีย ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านเห็นชายนุ่งกางเกงแดงสองคนมายืนที่เตียงของ แม่ ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากจะช่วยแม่ก็ช่วยไม่ได้ จนกระทั่ง แม่ท่านเสียไปแล้ว คราวนี้ท่านตัดสินใจฝึกนั่ง สมาธิเอาเอง ก็ได้รับสัมผัสจากครูบาอาจารย์ต่างๆมาสอน อย่างหลวงปู่แหวน ฯลฯ

ลูก: แล้วอาจารย์พี่อยู่ที่ไหนของระยองคะ หนูอยากไปหาบ้าง(ด้วยความที่เรามีเพื่อนอยู่ที่ระยอง ก็อยากจะให้เช็คดูซิว่า จริงมั๊ย)

คุณพี่: หนู ไม่ต้องไปหรอก ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ ท่านไม่ดูให้ อย่างพี่ให้ท่านดูว่าที่ป่วยอยู่นี้จะรักษาอย่างไร ถึงจะหาย ท่านก็บอก เป็นโรคกรรม ต้องปฏิบัติธรรม และแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ตัวพี่เองก็เลยตระเวนไปปฏิธรรมตลอด ที่ไหนว่าดี ก็ไป

คุณแม่: แล้วเป็นไง ดีขึ้นไหม

คุณพี่: ก็ ไม่ดีเท่าไหร่นะ พี่ก็เลยกลับไปหาอาจารย์ ว่าจะมีวิธีไหนที่ทำบุญร้อยได้ล้าน และได้ทำบุญกับพระที่เป็นเนื้อนาบุญ อาจารย์บอก เดี๋ยวจะใช้จิตจับดูให้
ลูก: อาจารย์พี่ว่าไงคะ เพราะท่าทางจะหายากนะ

คุณพี่: วัน หนึ่งอาจารย์พี่นั่งดูทีวี เห็นหลวงปู่บรรยายธรรมอยู่ มองดูแล้วก็ สงสัยว่าทำไมพระรูปนี้ยังหนุ่มอยู่ แต่มีคน เรียกท่านว่าหลวงปู่ อาจารย์เลยขอใช้กระแสจิตจับ ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อจิตท่านเข้าถึงสมาธิแล้ว ก็ได้เห็นว่า กายหลวงปู่หนุ่มอย่างนั้นนะ พอมองเห็นข้างในแล้ว กลายเป็นคนแก่อายุมากกว่าร้อยปี อาจารย์ถึงกับทรุดตัวลงนั่ง กับพื้น แล้วรีบขอขมาหลวงปู่ต่อหน้าทีวีในวันนั้นเลย เสร็จท่านรีบโทรหาพี่ บอก "ด่วน" ให้รีบไปทำบุญกับท่าน หรือจะ ไปปฏิบัติธรรมกับท่านก็ได้ นี่แหละทำร้อยได้ล้าน จึงเป็นที่มาของพี่ที่ต้องมาปฏิบัติธรรมกับท่าน

คุณแม่: แล้วคุณปฏิบัติกับหลวงปู่มากี่ปีแล้ว
คุุณพี่: ตั้งแต่ปี 48 นะพี่ เชื่อไหม ตั้งแต่นั้นมา โรคภัยไข้เจ็บทุเลา และดีขึ้นเรื่อยๆ
ลูก: จริงหรือพี่ หนูเองก็มักป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ ก่อนจะมาวัดนี่ ก็นอนโรงพยาบาลอยู่ 3 วัน
คุณพี่: สงสัย จะโรคกรรม อาจารย์พี่ยังเคยบอกพี่ว่า ชาติก่อนพี่เคยเป็นนักรบ ทำกรรมกับเขาไว้เยอะ เลยมาเจ็บที่คอ กับหลัง หนูก็น่าจะเป็นนักรบมาก่อน เมื่อชาติที่แล้ว

ลูก: สงสัย เหมือนกัน เคยมีคนบอก เพราะหนูเองเคยเป็นน้ำท่วมปอด โดนเจาะปอดสดๆ สุดบรรยายเลย ร้องลั่น โรงพยาบาล ล่าสุดเป็นช็อคโกแลตซีส ตอนแรกนอนอยู่โรงพยาบาล หาสาเหตุไม่พบ ทรมานเป็นอาทิตย์ ไข้ขึ้นสูง อาเจียนตลอด ทานอะไรไม่ได้ หมอก็มาถามจังว่าไปทำอะไรมา หนูก็ยืนยันนอนยันว่ายังไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น

คุณแม่: รู้ ไหม ตอนนั้นเราทำอย่างไร เราเครียดมาก ไม่รู้ลูกเป็นอะไร เรากับลูกสาวคนโตลงไปข้างล่างของ โรงพยาบาล ซื้อธูปเ ทียน และดอกไม้ ไปไหว้ท่านท้าวมหาพรหม ขอให้ท่านช่วยบอกว่าลูกเราเป็นอะไร และขอให้รักษาหาย

ลูก: พี่ เชื่อไหม พอดีวันนั้น หมอให้เข็นหนูไปทำอัลตร้าซาวด์อีกครั้ง พร้อมเรียกหมอท่านอื่นมาช่วยกันดู ก็ได้พบว่า มีซีสที่รังไข่หนูเป็นหนองแล้ว ทุกคนจึงรีบให้หนูผ่าตัดวันนั้น

คุณแม่: ฉันนะ ใจเสียเลย บอกหมอ ถ้าจะเอารังไข่ลูกฉันออก ต้องมาคุยกันก่อน ห้ามตัดทิ้งเด็ดขาด

ลูก: สรุป แล้ว หนูก็รอดตายออกมา รังไข่ยังเหมือนเดิม เอาแต่หนองออกมา จริงๆแล้ว วันนั้น หนูไม่รู้ว่า แม่กับพี่สาว ลงไปไหว้ท่านท้าวมหาพรหมนะ แม่มาบอกก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด ว่าให้ทำใจให้สบาย อย่าคิดถึงใคร ให้ทำใจโล่งๆ ช่วงที่หนูหลับไป หนูเห็นผู้ชายนุ่งโจงกระเบน มีสร้อยสังวาลคล้องคอ ที่ศีรษะก็เป็นฉัตร เดินมาดูหนูที่เตียง และเดินกลับไป แล้วก็เห็นเป็นไฟส่องเป็นทางให้ท่านเดิน

คุณพี่: นี่แหละ ท่านมีเมตตาช่วยเปิดทางเรา และท่านสกัดไม่ให้เจ้ากรรมนายเวรมาตัดรอนเราในตอนนั้น
คุณแม่: มันยังไม่แค่นั้นซิ ยังไม่จบ ตอนกลางคืนหลังกลับมาพักฟื้น เรานอนหลับตาอยู่ ได้ยินเสียง "แอกๆ" ก็ไม่เอะใจ นึกว่าลูกไอ ก็ไม่ได้ลุกมาดู ปรากฏว่า!!!!
ลูก: นั่น นะ หนูเห็นเป็นเงาๆขึ้น สองตน ขึ้นคร่อมมาบนตัวบีบคอหนู หนูหายใจไม่ออก แต่หลับตาตั้งหลักกรวดน้ำให้ สองตนนั้นก็หลุดไป รีบเรียกพี่สาว แล้วเล่าให้ฟัง พี่สาวก็เอาผ้ายันต์มาผูกแขน เอาตุ๊กตามาวางข้างลำตัว บอกว่า ถ้าเขามาอีกให้ถีบตุ๊กตาลง พี่จะลุกขึ้นมาช่วย พอหลับตาก็มาอีก เราเหงื่อท่วมตัวเลย ไม่รู้จะเอาไงดี กรวดน้ำอีก บอกไม่ไปจะอยู่กับแม่ บุญที่ฉันทำมาทั้งหมด ฉันยกให้ นั่นแหละเขาจึงปล่อย

คุณพี่: นี่ แหละ เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ยอม ที่พระพรหมท่านมาก็มากั้นพวกเขา พอท่านไป พวกเขาก็กลับมาเล่นงาน เรา เพราะเขารอเวลาให้เปิดช่องที่จะเล่นงานเรา ตอนนั้นพี่กับลูกได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่หรือยัง

คุณแม่: ยัง เลย แต่มีตอนหลังนี่ก็มีเรื่องเกิดกับไอ้คนนี้อีก วันนั้นพาเจ้าคนนี้แหละไปตรวจเล็บ เพราะเล็บมันโดน น้ำเซาะมานานแล้ว มันกินเนื้อไปเรื่อยๆ มันปวด วันนั้น เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล มาขูดเล็บจะไปตรวจ พอขูดเสร็จ มันหน้าซีดกลับมานั่งรอฟังผลตรวจ

ลูก: ตอนนั้นก็เมื่อเกือบ 10 ปี แล้วค่ะ ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ไหนเลย ช่วงนั้นเรียนใกล้จบแล้ว คืนหนึ่งหนูกำลัง ครึ่งหลับ ครึ่งตื่น มีชายนุ่งกางเกงแดงสองคน มากระชากหนูจากเตียง หนูหันหลังมองลงมา เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง รู้สึกว่าแรงดึงแรงมาก เหงื่อท่วมตัว หนูก็บอก "ไม่ไป๊ ไม่ไป ไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่กับแม่ ยังไม่ได้ทำอะไรให้แม่เลย ยังไม่ได้อยู่กับแม่เลย" จากนั้นเขาทั้งสองก็ปล่อยหนู หนูสัมผัสได้ถึงเมื่อจิตกระทบกับร่าง ความรู้สึกเหมือนจะประกบอะไรสักอย่างให้สนิทกัน นั่นแหละหนูจึงรอด
คุณแม่: ก็เพราะความกตัญญูไง ซึ่งเป็นคุณธรรมข้อหนึ่ง ที่ทำให้รอดมาได้ แสดงว่าเขาให้โอกาส

คุณพี่: เออ พี่เองก็เจอ ท่านชายกางเกงแดงทั้งสอง ได้มาเข้าฝัน ว่าจะเอาเราไปให้ได้เหมือนกัน พี่ก็ต่อรองว่าไม่ไป ยังไม่ใช่เวลา ก็ต่อรองว่า ทำบุญก็ทำมาเยอะ ชวนคนมาปฏิบัติธรรมก็หลายคน ตัวเองก็ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด อย่าเพิ่งเอาไปเลยนะ จนท่านทั้งสองบอกว่า เขาเห็นต้นบุญในตัวเรา ที่กำลังงอกเงย ถ้าเอาไปตอนนี้ก็เท่ากับ ขาดคนที่จะสืบสานงานทางพระพุทธศาสนา จึงได้ให้อยู่ต่อ
คุณแม่: ยังโชคดี ทำบุญอยู่เยอะละซิ

คุณพี่: เรา เองทั้งสามีไปสอนหนังสือสามเณร โดยไม่คิดเงิน แล้วแต่ละเดือน อาจารย์ของเราจะคอยเตือนว่าช่วงนี้บุญ ลดลงนะ ให้รีบทำ แล้วให้ทำบุญใหญ่ๆ เราก็เร่งปฏิบัติธรรม ขนาดโรงเรียนที่เราสอนอยู่ เขาสร้างตึกใหม่ เรายอมยก เงินเดือนทั้งเดือนเพื่อร่วมบริจาค แล้วก็ไปบอกสามีว่าเดือนนี้ขอเกาะด้วยนะ สามีก็ยินดี ไม่ว่าอะไร ทำอย่างนี้ตลอด จนกระทั่งสามีมีโอกาสได้ไปเช่าเหรียญดาวสุริยะของหลวงปู่ เราเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเก๊ รีบเอาไปให้อาจารย์เช็ค อาจารย์ท่านดูให้บอกว่า มีพลังมากกันได้หมด ภูตผีปีศาจกลัวหมด
ลูก: แพงไหมพี่

คุณพี่: ก็ พอสมควรนะ แล้วพี่นึกอย่างไรไม่รู้ช่วงนั้น ไปขอจากแฟนพี่มาห้อยคอ ตอนแรกก็ว่าเชยนะ แต่ได้ประสบกับ เหตุการณ์ เมื่อที่พี่ไปรอรับแฟนที่มหาวิทยาลัยนิดา พี่ถึงกับศรัทธาเหรียญนี้ทันที ที่ได้ช่วยชีวิตพี่อีกครั้ง
ลูก: อะไรคะพี่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่อีก

คุณพี่: ก็ตอนที่พี่รอแฟน พี่นั่งหลับรออยู่ข้างล่างของตึก ตอนนั้นก็ได้ยินเสียง "กูอยากหักคอมึง" พี่ก็คิดว่าเสียงอะไร ท่าจะฝัน พอฟุบหลับอีกครั้งก็ได้ยินอีก "กูอยากหักคอมึง" พี่ก็รีบเรียกวิชาหลวงปู่ทันที "สัพเพสัตตา ขอให้เป็นสุขๆ" ก็ได้ยินอีก แต่เขาก็ทำอะไรพี่ไม่ได้
คุณแม่: เพราะอะไรเหรอ หรือแค่แผ่เมตตาไปเขาถึงกลัว

คุณพี่: ไม่ ใช่หรอก ได้ไปหาอาจารย์ รีบให้ท่านเช็คให้ ท่านบอกว่าแถวๆนั้นคนแขกเยอะ แล้วเขาหมั่นไส้เรา ที่กระแดะ ทำเป็นคนปฏิบัติธรรม ซึ่งคนแขกเขาไม่ยอมรับเรื่องนี้กันนะ ยิ่งเราแผ่เมตตาให้ เขาก็ยิ่งว่าเราแกล้งทำ แต่ด้วยบารมี ของเหรียญดาวสุริยะนี่แหละ ที่มีพลังมาก สามารถคุ้มกันภัยได้ เราถึงรอดมา
ลูก: อ้าวๆ พี่จะรีบไปไหน ยังเล่าไม่จบเลย
คุณพี่: ขอตัวนะ ขอไปทานข้าวเช้าก่อน พวกเพื่อนพี่เขารอกันอยู่

ลูก: แม่ๆ อยากรู้จังว่าเหรียญหน้าตาเป็นอย่างไร เราไปดูที่มูลนิธิกันเถอะ (ด้วยความอยากรู้ สองคนแม่ลูกก็รีบไปดู แต่ปรากฎว่าเหรียญนั้น ไม่มีให้เช่าแล้ว)
หลังจากได้ทำธุระส่วนตัวในตอนเช้าเสร็จกันหมดทุกคนแล้ว ก็ได้ยินเสียงตามสายให้รวมตัวกันที่ศาลาปฏิธรรมอีกครั้ง
ลูก: เร็วแม่ เขาเรียกแล้ว ส่วนเหรียญนั่นเอาไว้ก่อน เรายังไม่มีบุญมั๊ง

คุณแม่: เออ พี่เขามีครูบาอาจารย์ เขาคงอธิษฐานมาดี จึงได้ไว้บูชา เรามันยังบุญเท่าหางอึ่ง
ลูก: แม่ๆ นั่นบุญมาแล้ว พี่เขามานั่งอยู่ใกล้ๆ แม่อยากเห็นเหรียญนั่นไหม เดี๋ยวจะถามให้
คุณพี่: อ้า; เจอกันอีกแล้ว
ลูก: พี่คะ หนูอยากเห็นเหรียญนั้นจัง ไปดูที่มูลนิธิก็ไม่มีแล้ว(ข้าพเจ้าก็ทำตัวให้น่าสงสารสุดๆเพื่อแม่)
คุณพี่: เอาซิ พอดี พี่เอาติดตัวมาด้วย นี่ไงจ๊ะ
ลูก: แม่ดูซิ เหรียญเหมือนฮิตเลอร์เลย
คุณแม่: เออ จริงด้วย เหมือนโลโก้ในรายการกรรมลิขิตเลย
คุณพี่: เพื่อน พี่มันก็ล้อว่าเป็นสาวกฮิตเลอร์ แต่พี่ก็ช่างมัน ก็เพราะเหรียญนี้แหละที่ทำให้เรารอดตายมาได้ ใครล่ะจะรู้ นี่พี่จะอวดเลือดของหลวงปู่ด้วยนะ พี่ได้มารีบเอามาเลี่ยมทองแขวนคอไว้ด้วยกัน
ลูก: พี่นี่สุดยอดเลย ได้มาอย่างไรคะนี่
คุณพี่: เลือดท่านค้างอยู่ในสายยาง ตอนที่ท่านไปเจาะเลือด แล้วเพื่อนพี่ได้มา ก็เอาสายยางนั้นมาตัดแบ่งกัน
คุณแม่: คุณนี่โชคดีจริงๆนะ ได้แต่ของดีตลอด
คุณพี่: จะ บอกเคล็ดลับให้ฟัง แต่ก่อนเศรษฐกิจ ในครอบครัวพี่แย่มาก สุขภาพก็ไม่ดี แฟนพี่ต้องคอยดูแลแต่พี่เพราะ กลัวว่าพี่จะเป็นอะไรไป เราทั้งสองก็พยายามทำบุญทุกอย่าง ยอมสละเงินเดือนพี่ ทำบุญตลอด แล้วเมื่อทราบว่า หลวงปู่ท่านสอนปฏิบัติธรรมด้วยตัวท่านเอง อาจารย์พี่เลยรีบจ้ำจี้จ้ำไชให้พี่มา ปฏิบัติธรรมกับท่านให้ได้ อยู่บ้านพี่ก็ ปฏิบัติด้วยนะ จนตอนนี้ครอบครัวพี่ดีขึ้น แฟนพี่ก็ได้ขั้น เงินเดือนขึ้น มีรถประจำตำแหน่งให้อีก อย่างลูกสาวจะเรียน จบแล้ว เพื่อนแฟนก็โทรมาบอกว่าขอทุนเรียนโท ไว้รอให้แล้วนะ บารมีหลวงปู่ท่านไม่ใช่แค่นี้นะ ยังไปถึงลูกของเพื่อน พี่อีก เขาจะไปเรียนต่อเมืองนอก ก็ได้มากราบลาหลวงปู่ แล้วก็ห้อยเหรียญหลวงปู่ไปด้วย ปรากฏว่าได้ไปเจอคนลาว เจ้าของร้านอาหารที่เมืองนอก เขาเห็นเด็กคนนี้เดินผ่าน หน้าร้านทุกวันๆ ก็เกิดความเมตตา เรียกมาคุยและถูกคอกัน จนกระทั่งนับเป็นพ่อลูกกัน นี่แหละพลังความเมตตา ของหลวงปู่ได้ส่งผ่านไป ใครสัมผัสได้ก็จะเกิดความรักเมตตา ต่อกัน
ลูก: แม่ แล้วเราล่ะ นับนิ้วซิ ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ท่านแค่ไหน สงสัยยังไม่ถึงครึ่งของพี่เขา
คุณแม่: เออ รู้แล้ว นี่แหละเราถึงต้องตั้งใจ สู้ต่อไป (ไอ้มดแดง)
คุณพี่: พี่ลืมบอกไป เคล็ดลับสุดท้ายนะ ถ้าหนูมาปฏิบัติต้องอยู่ให้จบ หมายความว่า ถ้าหลวงปู่ท่านจัดปฏิบัติธรรม 3 วัน ก็ต้องอยู่ให้ครบ เสร็จแล้ววันสุดท้าย ที่หลวงปู่ท่านให้พรแก่ลูกหลานนี่แหละ ที่เจ้ากรรมนายเวร ถ้าเกาะติดตัวเราอยู่ เขาต้องยอมเพราะเสียงท่าน หากไม่ได้ฟังในชาตินี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าภพภูมิไหนที่จะได้ฟังเสียงของ พระมหาโพธิสัตว์อย่างนี้ได้อีก พวกเขาต้องยอมจำนน ก้มกราบท่านได้ จากนั้นให้หนูไปที่ศาลากลางน้ำ นั่นแหละ ที่นั่น มีพลังดาวเหนือ ให้ตั้งใจที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยสำนึกว่าเราผิดไปแล้ว ที่ได้ก่อกรรมไว้กับ พวกเขาในชาติก่อนๆ ที่นั่นเปรียบเสมือนทางด่วน ส่งตรงถึงเจ้ากรรมนายเวรเลยนะ หนูต้องอดทนทำต่อไปนะ อย่า ย่อท้อ
ลูก: พี่คะแล้วโอกาสหน้าได้เจอกัน พี่เอาประสบการณ์แปลกๆ มาเล่าให้หนูฟังอีกนะคะ
ตอนนี้ หลวงปู่ท่านมาที่ศาลาพอดี ทุกคนจึงต้องสำรวมกาย วาจา เพื่อตั้งใจ ฟังคำสั่งสอนของท่าน เราทั้งหลายก็ได้ หยุดการสนทนากัน
วัน สุดท้ายของการปฏิบัติธรรม เราทั้งหมดก็ได้ทำตามคำแนะนำของพี่คนนั้น พี่ที่ไม่รู้จัก แม้กระทั่งไม่ได้ถามชื่อเสียง เรียงนามกันไว้ แต่ก็รู้ไว้ในใจว่าเราต่างก็เป็นญาติธรรมกัน และเป็นศิษย์ของ หลวงปู่เหมือนกัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว พวกเราก็ได้ไปอุทิศส่วนกุศลที่ศาลากลางน้ำด้วยความตั้งใจ ที่ยอมรับผิดต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรว่า เราได้สำนึกใน กรรมที่ได้ก่อขึ้นด้วย กาย วาจา ใจ และชีวิต ที่ได้ทำไว้เพราะความโลภ ความโกรธ และความหลงมายาวนาน บัดนี้ ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดแล้ว ขอท่านทั้งหลายโปรดเมตตาอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วยเทอญ พอพวกเรากำลังเดินกลับ แม่ของข้าพเจ้า ก็ลื่นที่บันไดนั้น ก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น ทุกคนหน้าซีดด้วยความตกใจ เอาอีกแล้ว ยิ่งเป็นโรคกระดูก ทับเส้นอยู่ ถามแม่ว่าเจ็บไหม แม่หันมายิ้มแล้วก็บอกว่า "สงสัยเจ้ากรรมนายเวรของฉัน จะหมั่นไส้ ว่าอีนี่กระแดะ ทำเป็น ส่งบุญให้ เลยถีบให้ซะทีเป็นการตอบแทน"



เมื่อ ได้กลับมานั่งคิดทบทวน ดูว่าสิ่งที่พี่คนนั้นเขาปฏิบัติอยู่แล้ว ทำให้ชีวิตเขารุ่งเรืองขึ้น แม้เศรษฐกิจช่วงนี้จะไม่ดี เขาก็ไม่ได้โดนผลกระทบอะไร มันเพราะอะไรกัน เมื่อมานึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์สนอง วรอุไร ในครั้งที่ไปฟัง ธรรมของท่าน และมีโอกาสได้กราบท่าน ท่านเคยพูดว่า "ถ้าหนูอยากให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้น หนูต้อง ทำทาน ศีล และ ภาวนา สามตัวนี้ให้สมดุลนะ"

จาก คำพูดของอาจารย์ ก็ได้ส่องทางสว่างให้เห็นว่า การที่พี่เขาทำทั้ง ทาน ศีล และ ปฏิบัติธรรม มันก็ครบทั้งสามตัวอย่างอาจารย์เคยกล่าวไว้ มันไม่ใช่เพราะการมีของดีอะไรที่ไหนหรอก แต่เพราะบุญ ที่พี่เขาทำเป็นบุญใหญ่ และได้ทำกับเนื้อนาบุญ จึงเป็นแรงที่ส่งผลได้เร็ว และเกิดจากความมีสัจจะ ว่าถ้าจะปฏิบัติ ธรรมวัน ก็ต้องทำให้ครบ นี่แหละเป็นบารมีอย่างหนึ่ง จำได้ตอนที่อาจารย์ได้บรรยายธรรมไว้ว่า การปฏิบัติธรรม ถือเป็นการบวชเนกขัมมะ ก็หมายถึงเป็นการปลีกตัวเพื่อรักษาพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์
ซึ่ง ต้องมีวิริยะความเพียร และสัจจะ สัจจะตัวนี้ถือเป็นคุณธรรมตัวหนึ่งที่ทำได้ ก็จะเป็นบารมีในบารมีทั้งสิบ กล่าวคือ สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี


สัจจะ บารมีตัวนี้สำคัญมาก ในสมัยพุทธกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ มารทั้งหลายมาตามรังควาน สุดท้าย ท่านได้อ้างเอาสัจจะบารมี จึงทำให้ท่านสามารถเอาชนะมารทั้งหลายได้ จากคำสอนครั้งนั้น ก็สรุปได้ว่า นี่แหละ สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติธรรม นอกจากเราจะได้บารมีแล้ว ได้ใช้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรแล้ว ยังส่งผลต่อ ปัจจุบันให้มี โภคทรัพย์ และอริทรัพย์ เป็นเสบียง ข้ามภพ ข้ามชาติได้ จึงได้ถึงบางอ้อเสียที
ด้วย ที่ข้าพเจ้าได้ปวารณาตนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่พุทธะอิสระและเป็นผู้ยึดแนวคำ สั่งสอนของท่านอาจารย์สนอง วรอุไร อยู่ในจิตนี้ ขอยืนยันว่าบทความนี้เป็นสัตย์จริง ที่ได้ประสบด้วยตนเอง และหวังว่าบทความนี้จะเป็นเหตุและปัจจัยให้ เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ไฝ่รู้ในธรรมและผู้ได้ปฏิบัติดีแล้วในธรรม ได้มีกำลังใจในการสร้างความเพียร มีขันติที่ฝึก ปฏิบัติ และนำส่องทางชีวิตของท่าน ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตลอดไป

ลูกป้าแอ๋ว

ขอขอบคุณข้อมูลจากชมรมกัลยาณธรรม : http://www.kanlayanatam.com/sara/sara117.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น