วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

เจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวง







ภาพเจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวงที่ รพ. ศิริราช


จึงนับเป็นวาสนาอันยิ่งของพวกเรา ที่ได้มีโอกาสเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนั้นมีผู้คนจากทั่วสารทิศ เดินทางมาร่วมสวดมนต์ในครั้งนี้กันอย่างมากมาย เต็มพื้นที่ ภายในสวนหย่อมของโรงพยาบาล ซึ่งนอกจากหลวงปู่จะมาสวดมนต์เพื่อถวายในหลวงแล้ว ท่านยังนำปัจจัยมาถวายให้กับในหลวงอีกจำนวน ๕ แสนบาท และผู้ที่มาร่วมงานก็รวบรวมเงินมาได้อีก ๕ แสนบาท รวมเป็นเงิน ๑ ล้านบาท เพื่อทูลเกล้าถวายให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งปัจจัยจำนวน ๕ แสนนั้น เป็นเงินที่ได้มาจาก การขายมัน ที่ขุดมาจากทองผาภูมิ


หลัง จากวันที่พวกเราได้สวดมนต์ที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงปู่ท่านก็ฝึกพวกเรามากยิ่งขึ้นไปอีก โดยพวกเราก็ตื่นมาสวดมนต์ทำวัตร ตอนตี ๔ ครึ่งอย่างเช่นเคย เจริญมนต์เสร็จแล้วก็ต่อด้วยการทำวัตรคือ ปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณรอบๆวัดก่อนจะฉันเช้า หลังจากฉันเช้าหลวงปู่ท่านก็จะให้พวกเรามาประชุมรวมกันที่ลานโพธิ์ เสร็จแล้วท่านก็ให้จัดเตรียมพระเครื่อง เพื่อทำพิธีพุทธาภิเษกซึ่งมีอยู่หลายรุ่นด้วยกัน ที่พอจะจำได้ก็มี รุ่นหนึ่งในปฐพี พระโพธิสัตว์อวยชัยเนื้อผง เหรียญพระนาคปรกดาวสุริยะ เหรียญรูปเหมือนของหลวงปู่

จึงนับเป็นวาสนาของข้าพเจ้าที่ได้ร่วมพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องในตำนานของ หลวงปู่ หลังจากเตรียมสถานที่เสร็จแล้วท่านก็สั่งให้พวกเรานั่งล้อมกันเป็นวงกลม และส่งด้ายสีแดงกว้างประมาณ ๑ นิ้ว ล้อมวงเวียนประทักษิญ ให้พวกเราจับ ซึ่งด้ายนี้หลวงปู่จะใช้ประกอบในพิธีพุทธาภิเษกอยู่ทุกครั้ง จึงห้ามพวกเราเดินข้าม หรือเหยียบอย่างเด็ดขาด บางคนที่เคยได้ไปเพราะท่านสั่งให้ตัดแจกจะรู้ดีว่า ด้ายนี้มีประสบการณ์มากเป็นที่ต้องการของศิษย์ทุกคน ได้แค่คืบเดียวนิ้วเดียวก็เอา บางคนถึงกับแย่งกันตัดก็มี

พอนั่งล้อมวงเสร็จ ท่านก็จะเริ่มสวดมนต์ ก่อนที่จะเริ่มทำการเจริญมนต์ทุกครั้ง หลวงปู่ท่านจะนำพวกเรากราบพระ และกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย ขอขมาต่อต้นโพธิ์ตรัสรู้ เขตพัทธเสมา และขอขมาต่อครูอาจารย์ ทุกครั้งทั้งก่อนสวดและหลังสวด แล้วท่านก็จะต่อด้วย บทชุมนุมเทวดา และสวดอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ เสียงสวดของท่านทั้งไพเราะและทรงอำนาจมาก แต่ในขณะที่สวดชุมนุมเทวดา ท่านจะไม่พนมมือขึ้น จากนั้นก็จะเริ่มเจริญมนต์ บทหลักๆก็จะมี บทพระสูตร ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน และพระสูตรสำคัญอีกหลายพระสูตร เหมือนเช่นตอนธุดงค์อยู่ที่ทองผาภูมิ

ในระหว่างนั้นหลวงปู่ท่านก็จะนั่งจารพระไปด้วย พอหลังเจริญมนต์เสร็จก็เตรียมตัวไปฉันเพล หลังจากฉันเพลก็มารวมกันที่ลานโพธิ์อีก เพื่อปฏิบัติธรรม ฝึกจิตเดินกรรมฐานรอบลานโพธิ์ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ร่วมเดินด้วย ในระหว่างการเดินข้าพเจ้าก็มักจะแอบสังเกตุหลวงปู่ไปด้วยว่าท่านเดินยังไง ทั้งจังหวะ การก้าวและการถ่ายเทน้ำหนัก ซึ่งหลวงปู่ก็ท่านทำได้อย่างหมดจด ลงตัวในทุกๆก้าวที่เดิน ท่านจึงไม่ใช่อาจารย์ที่แค่สอนได้ แต่ท่านทำให้ดูได้ด้วย ในทุกๆอย่างและทุกๆเรื่อง ทุกวิชาที่ท่านถ่ายทอดออกมา ท่านล้วนทำได้จริง จึงนับเป็นวาสนาของพวกเราที่ได้เรียนรู้จากครูบาอาจารย์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้

เมื่อเดินกรรมฐานเสร็จก็เจริญเมตตา กราบพระแล้วก็แยกย้ายกันไปทำกิจส่วนตัว ก่อนที่จะมารวมกันอีกในช่วงบ่ายที่ลานโพธิ์ เพื่อเจริญมนต์ทำพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องกันต่อ แต่ครั้งนี้จะเป็นการเจริญมนต์แบบย้อนหลังเหมือนที่เคยทำที่ทองผาภูมิ เสร็จจากช่วงบ่าย ก็แยกย้ายกันสรงน้ำ ก่อนที่จะมารวมกันเพื่อเจริญพระพุทธมนต์ในช่วงหัวค่ำ หลังจากเจริญพระพุทธมนต์ท่านก็ให้หลับตาทำสมาธิกันต่อ ขณะที่หลับตาทำสมาธิ มือของข้าพเจ้าก็ยังจับด้ายแดงที่ทำพิธีพุทธาภิเษกพระอยู่ด้วย

เมื่อทำสมาธิได้ชั่วครู่หนึ่งจิตก็รวมตัวเข้าสู่สูญญตสมาธิอย่างเต็มที่ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าช๊อตที่มือข้าพเจ้า และด้ายที่จับอยู่ก็สั่นระรัว ในเฉพาะบริเวณที่มือของข้าพเจ้านั้นจับอยู่ ซึ่งจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทุกครั้งที่จิตรวมตัวอย่างได้เต็มที่เท่านั้น มันเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายๆกับเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะเจอกับหลวงปู่ ข้าพเจ้าเคยฝึกสมาธิอยู่ ในขณะที่นั่งสมาธิ ข้าพเจ้าได้แขวนพระเครื่องเอาไว้ที่คอ แล้วทำสมาธิ ในขณะที่จิตรวม พระเครื่องที่แขวนอยู่นั้นเกิดสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในครั้งแรกข้าพเจ้าก็คิดว่ามันคงจะบังเอิญ แต่พอทำไปหลายๆครั้ง มันก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่จิตรวมได้อย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของอานุภาพของจิตที่เป็นสมาธิก็เป็นได้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงเลิกแขวนพระในขณะที่ทำสมาธิไปเลยทีเดียว


พอ หลังจากทำสมาธิเสร็จ ก็เจริญเมตตาภาวนา เสร็จแล้วหลวงปู่ก็ให้ พระใหม่ได้ขึ้นแสดงธรรม โดยให้อ่านจากพระไตรปิฏก โดยหลวงปู่ท่านลงจากแท่นที่ท่านนั่งอยู่แล้วให้พระใหม่ขึ้นไปนั่งแทนที่ และหลวงปู่ท่านเองก็ลงมานั่งกับพื้น ก่อนการแสดงธรรม หลวงปู่ท่านก้มลงกราบพระใหม่ ผู้ขึ้นแสดงธรรมอย่างนอบน้อม โดยไม่ถือตนว่าเป็นครูอาจารย์ หลวงปู่แสดงถึงความนอบน้อมต่อพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่าง หาที่สุดมิได้ แม้ผู้แสดงธรรมจะเป็นเพียงแค่พระใหม่ก็ตาม ซึ่งเป็นภาพที่ซาบซึ้ง ประทับใจข้าพเจ้าอย่างมิรู้ลืม ข้าพเจ้าจึงไม่รู้เลยว่า ในแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าจะหาครูอาจารย์ที่ไหน ที่จะสอนพวกเราได้เหมือนอย่างที่หลวงปู่ท่านสอนได้อีก

จาก นั้นในทุกๆวัน หลวงปู่ท่านก็จะฝึกพวกเราเหมือนเช่นเดิม คือท่านจะฝึกให้พวกเราทั้งตอนเช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ทั้งเจริญมนต์ และเจริญกรรมฐาน ในขณะเดียวกันก็ทำพิธีพุทธภิเษกพระเครื่องไปในตัวด้วย จึงเรียกได้ว่าท่านเสกทั้งพระที่เป็นคน และก็พระเครื่อง ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว จึงนับเป็นวาสนาของพวกเราทุกๆคนที่หลวงปู่ท่านได้ทุ่มเท เอาเวลาอันมีค่าของท่านมาสอนและฝึกพวกเราอยู่ตลอด แม้บางวันท่านจะมีภารกิจในบางช่วง ท่านก็จะสั่งให้พระพี่เลี้ยงช่วยฝึกพวกเราแทนตามเวลาที่ท่านเคยสอน แบบไม่ให้ขาดตกบกพร่องในเรื่องจิตภาวนากันเลยทีเดียว พวกเราจึงได้รับการเช่นนี้ในทุกๆวันก่อนจะถึงวันลาสิกขาบท

ใน วันลาสิกขา เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ผู้คนเดินทางมาที่วัดกันอย่างมากมาย เพื่อจะได้ทำบุญกับพระใหม่เป็นครั้งสุดท้าย และอีกหลายๆคนก็เดินทางเพื่อมารับ ญาติพี่น้องของตนเองกลับบ้าน ก่อนที่จะลาสิกขาหลวงปู่ท่านก็ได้ให้โอวาสเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้พวกเราทุกๆคนตั้งมั่น ดำรงอยู่ในศีลในธรรม ในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ได้เรียนรู้จากการบวช เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและครอบครัว แก่สังคมและคนรอบข้างต่อไป และในขณะที่ทำพิธีลาสิกขา มีพระพี่เลี้ยงเคยบอกเอาไว้ว่า ให้อธิฐานจิตให้ดี

ตอนที่ปลดสังฆาฏิออกจากตัว ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านก็จะเริ่มสวด ซึ่งข้าพเจ้าก็อธิฐานว่า ขอให้ข้าพเจ้าผูกความรักษาไว้ ในโพธิจิต โพธิธรรม เพื่อให้บรรลุถึงซึ่งโพธิญาณ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลเบื้องหน้าสืบไป เมื่ออธิฐานและปลดสังฆาฏิกับจีวรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ไปเปลี่ยนชุดเป็นฆราวาส ก่อนจะมานั่งรับศีลจากหลวงปู่ พอเปลี่ยนชุดเสร็จ มานั่งตรงหน้าหลวงปู่ ข้าพเจ้ารู้สึกใจหาย และสะท้อนใจที่ต้องกลับมาอยู่ในเพศฆราวาสอีกครั้ง น้ำตามันเริ่มเอ่อไหลนองอาบเต็มสองแก้ม เพราะใจมันรู้สึกทั้งรักทั้งผูกพัน กับเพศบรรพชิตยิ่งนัก จึงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องกลับไปใช้ชีวิตทางโลกดังเดิม แต่ก็ด้วยความจำเป็นทางโลกที่ไม่อาจทิ้งไปได้ จึงต้องยอมตัดใจ ทิ้งทางเดินที่รักยิ่งเพื่อกลับไปเผชิญกับโลกอันแสนจะสับสน ร้อนรุ่ม วุ่นวายกันต่อไป


สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าต้องกราบขอขมากรรม ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระมหาโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า ต่อบิดามารดา และครูบาอาจารย์ ต่อพระพี่เลี้ยงทุกๆรูป เพื่อนภิกษุพระใหม่ทุกๆคน หากข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ได้ล่วงเกิน หรือขาดตกบกพร่องไป จะด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี ก็ขอได้โปรดให้อภัยและอโหสิกรรมต่อข้าพเจ้าด้วย

หรือหากเรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้ขีดเขียน มีรายละเอียดที่ผิดพลาด บกพร่องไม่เหมาะสมประการใด หรือเพราะเหตุจากความทรงจำอันเลอะเลือนของข้าพเจ้าเองก็ดี ข้าพเจ้าเองก็ต้องกราบขออภัยต่อทุกท่าน มา ณ.ที่นี้ด้วย หากแม้นประสบการณ์ที่เขียนมานี้ พอจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ได้มาศึกษาบ้าง ข้าพเจ้าก็ขอยกกุศล ผลบุญ คุณความดีอันยิ่งนี้ ขอนอบน้อมถวายต่อองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ บรมครูผู้ที่พากเพียร อบรมสั่งสอนศิษย์ผู้โง่เขลายิ่งอย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย ขอความเป็นมงคลอันสูงสุดทุกประการ จงมีแด่องค์บรมครู หลวงปู่พุทธะอิสระทุกทิพาราตรีกาลเทอญ


ศิษย์ผู้โง่เขลา รุ่น ๘๔ พรรษา


ขอบคุณที่มาของภาพจาก หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) | Facebook

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น